Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การวางแผนกำลังคนในราชการพลเรือนไทย : ศึกษากรณีการวางแผนอัตรากำลัง 3 ปี
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Manpower Planning in Thai Civil Service : A Study of the Three-Year Staffing Planning
Year (A.D.)
1986
Document Type
Thesis
First Advisor
เครือวัลย์ ลิ้มปิยะศรีกุล
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
รัฐประศาสนศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1986.498
Abstract
วัตถุประสงค์ที่สำคัญของการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เพื่อประเมินผลการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ ขอบเขต ขั้นตอน แนวทางการดำเนินงาน การเตรียมการ กระบวนการ ปัญหาและอุปสรรค และผลสัมฤทธิ์ ตลอดจนศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี โดยได้กำหนดสมมติฐานไว้ 11 ประการ เพื่อสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมได้อย่างชัดเจนมากที่สุด ในการศึกษาวิจัยได้รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การฝึกปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี แบบสอบถาม และการสัมภาษณ์ โดยแบบสอบถามได้ส่งให้เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคล ของสำนักงาน ก.พ. จำนวน 74 ชุด ได้รับคืนมา 45 ชุด หรือคิดเป็นร้อยละ 60.81 และคณะทำงานจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ของส่วนราชการจำนวน 187 ชุด ได้รับคืนมา 132 ชุด หรือคิดเป็นร้อยละ 70.59 สำหรับในส่วนของการสัมภาษณ์นั้น ได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการจำนวน 5 ท่าน ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้ใช้สถิติเกี่ยวกับการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความแปรปรวน การวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน และสหสัมพันธ์โดยการควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้อง สำหรับการทดสอบสมมติฐานได้กำหนดนัยสำคัญที่ระดับ .05 ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. แนวความคิด รูปแบบ และแนวทางการดำเนินงานจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามหลักการบริหารงานบุคคลสมัยใหม่ ตลอดจนสอดคล้องกับความต้องการของส่วนราชการ และสภาพแวดล้อมในราชการพลเรือนไทยในปัจจุบัน 2. สำนักงาน ก.พ. ได้เตรียมการเพื่อจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี อย่างเหมาะสมในระดับปานกลาง 3. การให้ความรู้แก่คณะทำงานของส่วนราชการมีความเหมาะสมในระดับปานกลาง 4. รูปแบบการจัดตั้งคณะทำงานของส่วนราชการมีความเหมาะสมเป็นส่วนใหญ่ 5. การกำหนดจำนวนและระดับตำแหน่งโดยการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี มีความถูกต้องและเหมาะสมมากกว่าการกำหนดจำนวนและระดับตำแหน่งโดยส่วนราชการส่งคำขอไปยังสำนักงาน ก.พ. ทุก 1 หรือ 2 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 6. เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลที่เข้าร่วมจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี มีความรู้ และความสามารถอย่างเหมาะสมในระดับสูง 7. สำนักงาน ก.พ. และส่วนราชการที่จัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ได้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี โดยส่วนรวมในระดับปานกลาง 8. ส่วนราชการที่มีจำนวนตำแหน่ง จำนวนสายงาน และอยู่ในประเภทกลุ่มงานที่แตกต่างกัน บรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 9. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของสำนักงาน ก.พ. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ (1) การพัฒนาเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์เพื่อกำหนดจำนวนตำแหน่ง (2) ปัญหาและอุปสรรค์ในส่วนที่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลต้องรับผิดชอบงานวิเคราะห์ตำแหน่งและอัตรากำลังของส่วนราชการที่ไม่ได้จัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ควบคู่ไปกับการร่วมจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี (3) การกำหนดแนวทางและวิธีการของการตรวจสอบการกำหนดตำแหน่งและการใช้คน โดยตัวแปรเกี่ยวกับการพัฒนาเจ้าหน้าทีวิเคราะห์งานบุคคลให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์เพื่อกำหนดจำนวนตำแหน่ง สามารถอธิบายการผันแปรของการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของสำนักงาน ก.พ. ได้ร้อยละ 26.5 และเมื่อนำตัวแปรอิสระอีก 2 ตัวแปรมาพิจารณา จะสามารถอธิบายการผันแปรของการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของสำนักงาน ก.พ. ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.0 และ 6.0 ตามลำดับ 10. เมื่อควบคุมตัวแปรเกี่ยวกับภูมิหลังด้านต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคล และตัวแปรอิสระด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พบว่า การพัฒนาเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลและการกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ วิธีการ และรูปแบบของกิจกรรมในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของสำนักงาน ก.พ. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และปัญหาอุปสรรคที่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลประสบในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ไม่มีความสัมพันธ์กับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของสำนักงาน ก.พ. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 11. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของราชการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ (1) ความรู้และความสามารถของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคล (2) ปัญหาและอุปสรรคในส่วนที่ส่วนราชการขาดการกำหนดนโยบาย แผนงาน และโครงการในระยะยาวที่ชัดเจนและแน่นอน (3) ปัญหาและอุปสรรคในส่วนที่ส่วนราชการขาดการจัดเก็บสถิติ ข้อมูลที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ (4) ความรู้และความเข้าใจของคณะทำงานของส่วนราชการ โดยตัวแปรเกี่ยวกับความรู้และความสามารถของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลสามารถอธิบายการผันแปรของการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของราชการได้ร้อยละ 32.3 และเมื่อนำตัวแปรอิสระอีก 3 ตัวแปรมาพิจารณา จะสามารถอธิบายการผันแปรของการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของส่วนราชการได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8, 2.7 และ 1.8 ตามลำดับ 12. เมื่อควบคุมตัวแปรเกี่ยวกับจำนวนตำแหน่ง จำนวนสายงานของส่วนราชการภูมิหลังด้านต่าง ๆ ของคณะทำงานของส่วนราชการ และตัวแปรอิสระด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพบว่า ความรู้และความสามารถของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคล และความรู้ความเข้าใจของคณะทำงานของส่วนราชการ มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของส่วนราชการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และปัญหาและอุปสรรคที่คณะทำงานของส่วนราชการประสบในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี มีความสัมพันธ์ทางลบในระดับต่ำกับการบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ในส่วนของส่วนราชการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 13. จากผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้น สำนักงาน ก.พ. ควรดำเนินการในด้านต่าง ๆ ดังนี้ - พัฒนาเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลให้มีความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถในทุก ๆ ด้านเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับแนวความคิดและระบบการวางแผนกำลังคนตามหลักบริหารงานบุคคลสมัยใหม่ การวางแผนพัฒนาสายอาชีพ การตรวจสอบการกำหนดตำแหน่งและการใช้คน การจัดระบบงาน การกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ การจัดทำรายละเอียดหน้าที่ความรับผิดชอบ ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน และการแก้ไขปัญหา และเทคนิคการพยากรณ์ความต้องการกำลังคน - จัดแบ่งงาน และกำหนดหน้าที่ ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานบุคคลให้เหมาะสม เพื่อสามารถเข้าร่วมจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง - กำหนดแนวทาง และวิธีการตรวจสอบการกำหนดตำแหน่งและการใช้คนให้ชัดเจน และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนควรกำหนดขอบเขตของการตรวจสอบให้ครอบคลุมถึงการตรวจสอบความถูกต้อง และความเหมาะสมของหน้าที่ทางการบริหารงานบุคคลของส่วนราชการในทุก ๆ ด้านด้วย - ควรทำความตกลงร่วมกับส่วนราชการที่จะจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ให้มีการจัดทำแผนงาน และโครงการในระยะยาวด้านต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มดำเนินการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี - กำหนดวัตถุประสงค์ และขอบเขตของการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ให้ครอบคลุมถึงการปรับปรุงฐานข้อมูล และระบบข้อมูลของส่วนราชการ - กำหนดขั้นตอนการดำเนินการจัดทำแผนอัตรากำลัง 3 ปี ให้ครอบคลุมถึงการจัดแผนกำลังคนด้านต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแผนหลักในการบริหารงานบุคคลของส่วนราชการแต่ละแห่งในระยะเวลา 3 ปี - ปรับปรุงการให้ความรู้แก่คณะทำงานของส่วนราชการ โดยสมควรเพิ่มระยะเวลาในการให้ความรู้ให้มากขึ้น กำหนดกลุ่มผู้รับผิดชอบโดยเฉพาะ และจัดทำเอกสารประกอบการให้ความรู้ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน - ในระยะเวลาต่อไป ควรกำหนดระยะเวลาของแผนอัตรากำลัง 3 ปี ให้สอดคล้องตรงกับระยะเวลาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
คุเณนทราศัย, ไสว, "การวางแผนกำลังคนในราชการพลเรือนไทย : ศึกษากรณีการวางแผนอัตรากำลัง 3 ปี" (1986). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 47459.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/47459