Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเชิงวิเคราะห์ความคิดเรื่อง จักรวาลวิทยาในพุทธศาสนาตามที่ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Buddhist cosmology as revealed in suttanta pitaka : an analytical study

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

วิจิตร เกิดวิสิษฐ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ปรัชญา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.747

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาทรรศนะเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาตามที่ปรากฏในคัมภีร์สุตตันตปิฎก ผู้วิจัยพบว่ามโนทัศน์ เรื่องจักรวาลวิทยาในคัมภีร์สุตตันตปิฎกนั้นเป็นโลกทัศน์ที่เกี่ยวกับลักษณะธรรมชาติของโลกและจักรวาลซึ่งมีความสัมพันธ์กับมโนทัศน์เรื่องอื่น ๆ เช่นเรื่องจิต กรรม สุคติ และทุคติ นอกจากนี้ยังได้พบอีกว่าพุทธปรัชญามิได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับปัญหาอภิปรัชญามากนัก น่าจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการดับทุกข์หรือช่วยให้บรรลุความหลุดพ้นอันเป็นจุดหมายสูงสุดของพุทธปรัชญา ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงเน้นวิธีการทางด้านญาณวิทยาเพื่อเข้าถึงความรู้อันแท้จริง และเน้นเรื่องจริยศาสตร์ หรือการปฏิบัติดี มากกว่าเรื่องอื่น แต่พุทธปรัชญาในคัมภีร์สุตตันตปิฎกก็ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องความจริงข้อหนึ่งว่ารูปและนามหรือกายกับจิตมีความสัมพันธ์กับภูมิขั้นของจิตที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกับมติในอภิธรรม มโนทัศน์เรื่องจักรวาลวิทยาตามคัมภีร์สุตตันตปิฎกมีความรู้ 2 แบบ แบบแรกเป็นความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์คือความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต เช่นมนุษย์ พืช สัตว์ และบางส่วนเป็นความรู้เกี่ยวกับกำเนิดของโลกรวมทั้งข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ในการอธิบายถึงกำเนิดของโลกและธรรมชาติของโลกนั้นคำอธิบายบางเรื่องมีลักษณะเป็นตำนานแต่มีความคิดเกี่ยวกับเรื่องวิวัฒนาการของธรรมชาติ คือโลกมีการเกิดขึ้นก็ย่อมมีการทำลายและกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นซ้ำกันอีก ระยะกาลของกระบวนการนี้ไม่อาจจะกำหนดแน่นอนและทำนายได้ มโนทัศน์ในเรื่องกำเนิดชีวิตนั้น พุทธปรัชญาถือว่าคนมีความสำคัญต่อสิ่งอื่นและคนกลุ่มแรกที่มาอยู่ในโลกนี้มาจากอาภัสสรพรหม เรื่องนี้น่าจะตีความได้ว่าคนสืบเนื่องมาจากธรรมชาติที่ดีในระดับหนึ่งหรือคนมาจากคนและชีวิตของพวกเขาต่อมาหลังจากตายในชาติต่อ ๆ ไปก็เป็นไปตามการจัดสรรของกรรมใหม่ในโลกนี้ ความรู้ทางดาราศาสตร์บางประการที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้นั้นสามารถเทียบเคียงกับความรู้ทางดาราศาสตร์ในปัจจุบันได้ และก็มีความรู้บางประการที่ยังไม่อาจไปเทียบเคียงได้กับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน เพราะวิทยาศาสตร์ด้านนี้ยังกำลังทำการตรวจสอบ อาทิเช่นการที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าในโลกธาตุอื่น ๆ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากนั้นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยเช่นเดียวกับโลกของเรา และต่างก็มีรถสวรรค์เป็นของตนเองมีทวีป มีมหาสมุทร สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่นเดียวกับพื้นพิภพที่เราอาศัยอยู่นี้ ความรู้ในอีกแบบหนึ่งเป็นความรู้ที่ได้มาจากการหยั่งรู้ของพระพุทธเจ้าด้วยทิพยจักษุญาณ คือ เรื่องภูมิต่าง ๆ ซึ่งมีการพรรณนาสภาพของอบายภูมิน่าสะพรึงกลัวและความรื่นรมย์ในสุคติภูมิและเน้นว่ากำเนิดของชีวิตมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมอย่างละเอียด แนวทางนี้มีประโยชน์ในการจูงใจให้บุคคลอยู่ในศีลธรรมอันดีโดยมีความหวังว่าผลแห่งการประพฤติกุศลกรรมในปัจจุบันชาติทำให้ไปเกิดในสุคติภพได้ และผลแห่งการประพฤติอกุศลกรรมในปัจจุบันชาติก็เป็นแรงผลักดันให้ไปสู่ทุคติภพได้เช่นเดียวกัน รายละเอียดเกี่ยวกับภูมิในพระไตรปิฎกนั้นอาจแบ่งได้ 2 แบบในรูปแบบแรกว่าด้วยภูมิ นรก สวรรค์ นั้นมีอยู่เป็นวัตถุวิสัย (Objective) มีคำอธิบายไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งแต่ละภูมิอย่างชัดเจนพร้อมทั้งแสดงลักษณะชีวิตในภูมิต่าง ๆ ไว้ด้วย แบบที่สองเป็นรูปแบบของจิตวิสัย (Subjective) คือว่าด้วยภูมิ นรก สวรรค์ เป็นสภาวะของจิตมนุษย์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอายตนะภายนอกและอายนะภายในของมนุษย์เกิดเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนาและอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวัน มีนักปราชญ์ไทยบางท่านตีความ 2 ทรรศนะนี้ไว้ว่า สวรรค์ น่าจะเป็นภูมิในดวงดาวอื่น ๆ ที่อาจมีสิ่งมีชีวิตซึ่งมีธรรมชาติประณีตสุขุมดีกว่ามนุษย์ในโลกของเรา และก็มีจักรวาลอื่นโลกธาตุอื่นซึ่งมีสิ่งมีชีวิตอยู่ด้วยความลำบากยากแค้นยิ่งกว่าคนลำบากที่สุดในโลกของเราซึ่งเราเรียกว่านรกนักปราชญ์ไทยบางท่านตีความมโนทัศน์นี้ว่านรกสวรรค์เป็นเรื่องของอายตนะหรือที่เรียกกันว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ ดังนั้นแต่ละบุคคลจะเลือกเชื่อในทรรศนะใดก็ได้ซึ่งก็ไม่ทำให้กระทบกระเทือนต่อหลักสำคัญของพุทธศาสนาแต่ประการใดเพราะต่างก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาตามคัมภีร์สุตตันตปิฎกนั้นน่าจะเสนอจุดหมายปลายทางในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ 2 แนวทาง คือแนวทางประการแรกชักนำให้มนุษย์กระทำความดีเพื่อได้รับผลดีตอบสนองในชาตินี้ และไปเกิดใหม่ในภูมิที่ดี และแนวทางประการที่สองแนะให้เลือกนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดไม่เวียนว่ายตายเกิดในภูมิต่าง ๆ อีกต่อไป

Share

COinS