Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

พฤติกรรมการอ้างถึงของคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Citation behavior of Chulalongkorn University faculty members

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

นงลักษณ์ ไม่หน่ายกิจ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.758

Abstract

วัตถุประสงค์หลักของการวิจัยเรื่องนี้มี 3 ประการคือศึกษา 1) พฤติกรรมการอ้างถึงเพื่อประกอบการเขียนงานวิชาการของอาจารย์ประจำในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2) ประเภทของเอกสารที่อาจารย์ใช้เพื่ออ้างถึง และ 3) แหล่งเก็บเอกสารที่อาจารย์ใช้เพื่ออ้างถึง สมมติฐานในการวิจัย คือ 1) อาจารย์จะศึกษาเอกสารอ้างอิงที่จำเป็นต้องใช้สำหรับงานเขียนชิ้นนั้นโดยตรงอย่างละเอียดถี่ถ้วน 2 ) วารสารเป็นประเภทของเอกสารที่อาจารย์ใช้เพื่อการอ้างอิงถึงมากที่สุดสำหรับงานเขียนทางวิชาการประเภทบทความ และ 3) เอกสารอิงที่อาจารย์ใช้เพื่อการอ้างถึงเป็นเอกสารส่วนตัวมากที่สุด วิธีวิจัย คือ การวิจัยเชิงสำรวจ โดยใช้ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากประชากรที่เป็นอาจารย์ประจำในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวนรวม 93 รายซึ่งเป็นผู้เขียน/เรียบเรียงบทความวิชาการและได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ได้รับเงินสนับสนุนการพิมพ์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าด้วยการให้เงินสนับสนุนพิมพ์วารสารวิชาการ พ.ศ. 2521 ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามพร้อมด้วยบทความวิชาการของอาจารย์แต่ละท่าน รวมทั้งหมด 93 ชุด และได้รับแบบสอบถามกลับคืนมา 85 ชุด (91.40%) พร้อมด้วยบทความ 85 บทความซึ่งมีจำนวนเอกสารที่ได้รับการอ้างถึงรวม 842 รายการ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามใช้สถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากรายการเอกสารที่ได้รับการอ้างถึงใช้เพียงสถิติหาค่าความถี่ และ ร้อยละ เท่านั้น ผลการวิจัยสรุปว่า 1) อาจารย์ส่วยใหญ่ (97.65) อ้างถึงเอกสารอ้างอิงที่ใช้ในงานเขียนทางวิชาการด้วยเหตุผลที่ว่า เพื่อเป็นการยืนยันว่าข้อมูลข้อเท็จจริงนั้นถูกต้อง 2) อาจารย์จะศึกษาเอกสารอ้างอิงที่สำคัญหรือจำเป็นต้องใช้สำหรับงานเขียนทางวิชาการชิ้นนั้นโดยตรงอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดังมีจำนวนสูงสุดคิดเป็น 89.20 เปอร์เซ็นต์ซึ่งผลการศึกษาส่วนนี้สนับสนุนสมมติฐาน 3) ผลการวิจัยพบว่า มีการอ้างถึงเอกสารที่มิได้ศึกษาจริง 2.85 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเอกสารที่อ้างถึงทั้งหมด โดยมีเหตุผลในการอ้างถึงผู้ที่มีคำตอบมากที่สุด คือ เนื่องจากอาจารย์ผู้เขียนใต้ชื่อพร้อมบรรณานุกรมของเอกสารมาแต่ค้นตัวเล่มไม่พบ ซึ่งเมื่อพิจารณาชื่อเรื่องแล้วเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับเรื่องที่เขียน 4) อาจารย์ส่วนใหญ่ (55.71%) มีการไม่อ้างถึงเอกสารที่ได้ทำการศึกษาจริง โดยสาเหตุที่ไม่อ้างถึงซึ่งมีผู้ตอบมากที่สุด (33.33%) คือ เนื่องจากอาจารย์เห็นว่าเอกสารที่ศึกษาเพียงเพื่อนำแนวคิด วิธีการ มาดัดแปลงใช้ในงานเขียนเท่านั้น มิใช้เป็นการนำมาใช้โดยตรง 5) จากจำนวนเอกสารที่อ้างถึงทั้งหมด 842 รายการ ปรากฏว่าจำนวนมากที่สุด (55.94%) เป็นเอกสารที่อาจารย์ตั้งใจศึกษาโดยเฉพาะสำหรับงานเขียนนี้ ในขณะที่มีจำนวนน้อยที่สุด (7.72%) เป็นเอกสารที่อาจารย์มิได้ตั้งใจศึกษาโดยตรง แต่พบว่ามีการนำมาอ้างถึง 6) อาจารย์ส่วนใหญ่ (59.91%) ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่อ้างถึงในงานเขียนทางวิชาการด้วยตนเอง และในจำนวนอาจารย์ที่เหลือ (44.09%) ซึ่งมีผู้ช่วยในการค้นคว้าเอกสารที่อ้างถึงนั้นปรากฏว่า 51.52 เปอร์เซ็นต์ของอาจารย์กลุ่มนี้มีบรรณารักษ์เป็นผู้ช่วยในการค้นคว้า รองลงมา (44.44%) มีนิสิตช่วยงานเป็นผู้ช่วยในการค้นคว้า 7) เมื่อวิเคราะห์รายการเอกสารที่อ้างถึงทั้งหมด พบว่า หนังสือเป็นประเภทของเอกสารที่อาจารย์ใช้เพื่อการอ้างถึงมากที่สุด (43.35%) ซึ่งผลการศึกษาที่ได้นี้ไม่เป็นไปตามสมมติฐาน 8) เอกสารอ้างอิงที่อาจารย์ใช้เพื่อการอ้างถึงเป็นเอกสารส่วนตัวมากที่สุด (41.09%) ผลการศึกษาที่ได้นี้สนับสนุนสมมติฐาน 9) เอกสารอ้างอิงที่อาจารย์ใช้เพื่อการอ้างถึงเป็นเอกสารที่มีอยู่ในหอสมุดกลาง สถาบันวิทยบริการ เพียง 13.90 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการเลือกสรร จัดหาเอกสาร ตลอดจนการให้บริการสารนิเทศของห้องสมุดในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อให้สอดคล้องตรงตามความต้องการของคณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Share

COinS