Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเปรียบเทียบรูปแบบของฟิชไบน์กับรูปแบบของทรัยแอนดิส ในการศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของครูและผู้นำท้องถิ่น ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 28 ธันวาคม 2529

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A comparison of the Fishbein model with the triandis model in studying the voting behavior of teachers ans rural leaders in the by electing of a representative in constituency one, Changwat Knon Kaen, December 28, 1986

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

ธีระพร อุวรรณโณ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

จิตวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.176

Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการลงคะแนน เสียงเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของครูและผู้นำท้องถิ่น ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัด ขอนแก่น ในวันที่ 28 ธันวาคม 2529 โดยเปรียบเทียบตัวแปรในรูปแบบการทำนายเจตนาเชิง พฤติกรรมและพฤติกรรมของฟิชไบน์กับรูปแบบของทรัยแอนดิส เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสำรวจที่สร้างตามทฤษฎีการกระทำด้วยเหตุผลของฟิชไบน์และไอเซน กับรูปแบบพฤติกรรมระหว่างบุคคลของทรัยแอนดิส จากการนำแบบสำรวจไปทดลองใช้พบว่ามีค่าความ เที่ยงสอดคล้องภายในแบบแอลฟ่าของมาตรวัดต่าง ๆ ในแบบสำรวจ ตั้งแต่ .66 ถึง .92 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นครูมัธยมศึกษา จำนวน 113 คน ครูประถมศึกษา จำนวน 231 คน และผู้นำท้องถิ่น จำนวน 214 คน จากอำเภอเมือง อำเภอมัญจาคีรี และอำเภอบ้านฝาง จำนวนทั้งสิ้น 558 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้คือค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน สมการถดถอยพหุคูณ การทดสอบด้วยค่าที การทดสอบค่าเอฟด้วยวิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนทาง เดียว และเปรียบ เทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ การทดสอบด้วยค่าไคสแควร์และ เปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของมารัสเซโล และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรเจตนาการเลือกผู้สมัครและนิสัยต่อการเลือกผู้สมัครหมายเลข 1 และหมายเลข 2 ในรูปแบบของทรัยแอนดิส สามารถทำนายพฤติกรรมการเลือกผู้สมัครแต่ละหมาย เลข (R1 = .54, P < .001; R2 = .62, P<.001) สูงกว่าตัวแปรเจตนาการเลือกผู้สมัครในรูปแบบของฟิชไบน์ (R1 = .53, P < .001; R2 = .54, p< .001) โดยมีค่าความแตกต่าง ร้อยละของความแปรปรวน เท่ากับร้อยละ 1 และร้อยละ 9 2. ในรูปแบบของทรัยแอนดิส ตัวแปรเจตนาการเลือกผู้สมัครมีค่าน้ำหนักของการทำนาย (β = .50, .42; P<.001) สูงกว่านิสัยต่อการเลือกผู้สมัคร ( β = .13, .33; P<.001)ยกเว้นในกลุ่มครูมัธยมศึกษา ตัวแปรนิสัยต่อการเลือกผู้สมัครหมายเลข 2 มีค่าน้ำหนักของการทำนาย (β = .49, P< .001) สูงกว่าเจตนาการเลือกผู้สมัคร ( β= .27, P<.01) 3. ตัวแปรความรู้สึก คุณค่าของผลกรรมและปัจจัยทางสังคมในรูปแบบของทรัยแอนดิส สามารถทำนายเจตนาการเลือกผู้สมัครแต่ละหมายเลขได้สูงกว่าตัวแปรเจตคติ และการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงในรูปแบบของฟิชไบน์ โดยมีค่าความแตกต่างร้อยละของความแปรปรวนอยู่ระหว่างร้อยละ 6 ถึงร้อยละ 11 4.ในรูปแบบของฟิชไบน์ ตัวแปรเจตคติต่อการเลือกผู้สมัครและการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง สามารถทำนายเจตนาการเลือกผู้สมัครแต่ละหมายเลขได้อย่างมีนัยสำคัญ (R = .62, .58, .58; P< .001) โดยมีตัวแปรเจตคติมีค่าน้ำหนักของการทำนาย (β = .44, .41, .40; P < .001)สูงกว่าการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง (β = .28, .27, .27; P<.001) 5. ในรูปแบบของทรัยแอนดิส ตัวแปรความรู้สึก คุณค่าของผลกรรมและปัจจัยทางสังคมสามารถทำนายเจตนาการเลือกผู้สมัครแต่ละหมายเลขได้อย่างมีนัยสำคัญ (R = .66, .67, .67; P< .001) โดยมีตัวแปรคุณค่าของผลกรรมมีค่าน้ำหนักของการทำนาย (β= .35, .43, .38; P < .001) สูงกว่าความรู้สึก (β = .29, .21, .25; P <.001) และปัจจัยทางสังคม (β= .13, .17, .21; P < .001) 6. กลุ่มผู้ตอบมีเจตคติต่อการเลือกผู้สมัครและการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงต่อผู้สมัครที่กลุ่มเลือกสูงกว่าผู้สมัครที่กลุ่มไม่เลือกอย่างมีนัยสำคัญ ทั้ง 3 กลุ่ม (P < .01) 7. ตัวแปรเจตคติต่อการเลือกผู้สมัคร เจตคติต่อพรรคการเมือง และเจตคติต่อหัวหน้าพรรคการเมืองของผู้สมัคร สามารถทำนายเจตนาการเลือกผู้สมัครหมายเลข 1 และ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ (R1 = .58, P< .001; R2 = .53, P < .001) โดยตัวแปร เจตคติต่อการเลือกผู้สมัครมีค่าน้ำหนักของการทำนาย (β1 = .52, P<.001; β2 = .52, P<.001) สูงกว่าเจตคติต่อหัวหน้าพรรคการเมือง (β1 = .06, ns. ; β2 = -.01, ns.) และเจตคติต่อพรรคการเมืองของผู้สมัคร(β1 = .05, ns. ; β2 = .03, ns.) 8. ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อเจตนาการเลือกผู้สมัครหมายเลข 1 คือ ผลคูณของความเชื่อ กับการประ เมินความเชื่อ ที่ว่าทำให้พรรคฝ่ายค้านเข้มแข็งขึ้น ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรมีราคาดีขึ้น และผลคูณของความเชื่อเกี่ยวกับกลุ่มอ้างอิงนับการคล้อยตามกลุ่มอ้างอิง ที่ว่านายทุนไม่เห็นควรให้เลือก และรู้สึกว่าการเลือกผู้สมัครหมายเลข 1 เป็นสิ่งที่ก้าวหน้า ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อเจตนาการเลือกผู้สมัครหมายเลข 2 คือ ผลคูณของความเชื่อกับการประเมินความเชื่อ ที่ว่าทำให้ได้ส.ส.ที่เป็นปากเป็นเสียงของชาวขอนแก่นที่แท้จริง มีการคล้อยตามความประสงค์ของหัวหน้าพรรคราษฎร และรู้สึกว่าการเลือกผู้สมัครหมายเลข 2 เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน น่าสนใจ มีประโยชน์แต่ค่อนข้างสกปรก ตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อเจตนาการเลือกผู้สมัครหมายเลข 3 คือผลคูณของความเชื่อกับการประเมินความเชื่อ ที่ว่าทำให้ได้ส.ส.ที่เป็นปากเป็นเสียงของชาวขอนแก่นที่แท้จริง ทำให้ได้ส.ส.ที่มีความเข้มแข็ง กล้าพูด กล้าทำ มีการคล้อยตามความประสงค์ของข้าราชการท้องถิ่น กลุ่มสามล้อ ลุงแคล้ว นรปติ ที่เห็นควรเลือกผู้สมัครหมายเลข 3 และรู้สึกว่า การเลือกผู้สมัครหมายเลข 3 เป็นสิ่งที่ดี น่าสนใจ น่าสนับสนุน และมีประโยชน์ 9. กลุ่มผู้ตอบให้ความสำคัญกับเกณฑ์การพิจารณาเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นอันดับแรกคือ คุณสมบัติของผู้สมัคร ร้อยละ 36 อันดับสองคือผู้สมัครและนโยบายพรรค ร้อยละ 26.3 อันดับสามคือนโยบายพรรค ร้อยละ 22.9 โดยกลุ่มครูมัธยมศึกษาและครูประถมศึกษาให้ความ สำคัญอันดับแรกคือ นโยบายพรรค ร้อยละ 31.1 อันดับสองคือ ผู้สมัครและนโยบายพรรค ร้อยละ 28.7 อันดับสามคือ คุณสมบัติของผู้สมัคร ร้อยละ 24.6 ส่วนผู้นำท้องถิ่นให้ความสำคัญอันดับแรก คือ คุณสมบัติของผู้สมัคร ร้อยละ 55.3 อันดับสองคือ ผู้สมัครและนโยบายพรรค ร้อยละ 22.1 และอันดับสาม ผลงานที่ผ่านมาของพรรค ร้อยละ 9.6 10. กลุ่มผู้ตอบมีความเห็นว่า การเลือกตั้ง ส.ส. และพรรคการเมืองมีความสำคัญต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ร้อยละ 95.2 และ 87.8 ตามลำดับ นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง ร้อยละ 85.8 มีการแจกเงินหรือสิ่งของเครื่องใช้ ร้อยละ 58.2 และเห็นว่าการแจกเงินหรือสิ่งของเครื่องใช้จะเป็นโทษต่อบ้านเมืองในภายหลัง ร้อยละ 78 กลุ่มผู้ตอบไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งส.ส. และผู้ที่ได้เป็นส.ส.จะช่วยให้ชีวิตความ เป็นอยู่ของตนดีขึ้น ร้อยละ 81.3 และ 80.5 ตามลำดับและเห็นว่าการรับเงินแจก เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ร้อยละ 84.2 และไม่ควรเลือกผู้ที่แจก เงินเป็นส.ส. ร้อยละ 95.2 11. กลุ่มผู้ตอบมีเจตคติต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในทางที่ดีปานกลาง รู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน มีประโยชน์ แต่ค่อนข้างสกปรก ในกลุ่มผู้ตอบที่ไม่ใช้สิทธิ์ เป็นกลุ่ม ครูมัธยมศึกษาและครูประถมศึกษา ร้อยละ 83.2 และมีเจตคติต่อการเลือกตั้งในทางที่ดีน้อยมาก รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่าเบื่อและสกปรก

Share

COinS