Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

อุปสรรคในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต ในยุคหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Obatacles in Thai-Soviet relations after the second Indochina war

Year (A.D.)

1987

Document Type

Thesis

First Advisor

วิวัฒน์ มุ่งการดี

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

รัฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

DOI

10.58837/CHULA.THE.1987.572

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ไทยกับสหภาพโซเวียตในยุคหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 ไม่อาจพัฒนาให้ดีขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ได้โดยมีสมมติฐานว่า การที่สหภาพโซเวียตขยายบทบาทเข้ามาเป็นพันธมิตรกับเวียดนามในปี 1978 และให้ความช่วยเหลือเวียดนามในปัญหากัมพูชาทำให้เวียดนามมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านการทหาร ได้สร้างความวิตกกังวลให้แก่ไทยเป็นอย่างมาก ทำให้ไทยและสหภาพโซเวียตไม่อาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างเท่าเทียมกับมหาอำนาจอื่นได้ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำดังกล่าวของสหภาพโซเวียตยังส่งผลให้ไทยหันไปปรับความสัมพันธ์กับจีนและสหรัฐฯซึ่งเป็นมหาอำนาจฝ่ายตรงข้ามของสหภาพโซเวียต จึงยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียตมากยิ่งขึ้น การศึกษาได้กระทำโดยแบ่งระยะเวลาของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต ออกเป็น 3 ช่วงคือ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (1917-1945) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (1945-1975) และหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 (1975-ปัจจุบัน) แล้วศึกษาว่าในแต่ละช่วงเวลาไทยได้ดำเนินนโยบายอย่างไรต่อสหภาพโซเวียตและมีปัจจัยใดบ้างที่มีส่วนในการกำหนดแนว นโยบาย โดยได้แบ่งกลุ่มปัจจัยดังกล่าวออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับบุคคล ระดับชาติ และระดับ ระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังได้ศึกษาถึงรูปแบบในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทย ในอดีตที่ผ่านมา เพี่อนำมาเป็นแนวทางในการวิเคราะห์การดำเนินนโยบายของไทยต่อสหภาพ โซเวียตในแต่ละช่วงเวลาที่กล่าวมาข้างต้น จากการศึกษาพบว่า ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (1917-1945) นั้น ไทยไม่ปรารถนาจะมีการติดต่อสัมพันธ์กบสหภาพโซเวียต เนื่องจากมีความหวาดระแวงต่อท่าทีของพรรคบอลเชวิคที่ได้ประกาศในปี 1919 ว่าจะให้การสนับสนุนการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลก ในช่วงเวลานี้ ปัจจัยระดับชาติคือความแตกต่างทางอุดมการณจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดแนวนโยบายของไทยต่อสหภาพโซเวียต ต่อมาในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (1947-1975) ซึ่งเป็นยุคที่สงครามเย็นได้เข้ามามีผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศในเอเชียอาคเนย์ ผู้นำไทยมีทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ต่อสหภาพโซเวียตโดยพิจารณาว่าสหภาพโซเวียตเป็นผู้สนับสนุนสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการทำสงครามขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคแถบนี้ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศไทย ทำให้ไทยต้องผูกสัมพันธ์ทางการเมืองและการทหารกับสหรัฐฯ มากขึ้น สถานการณ์สงครามเย็นที่โลกแบ่งออกเป็น 2 ค่ายและไทยเข้าข้างสหรัฐฯ นั้นนับว่าเป็นอุปสรรคที่ขัดขวาง การมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต ส่วนในยุคหลังสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 ปีซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 1975 เป็นต้นมาอันเป็นยุคผ่อนคลายความตึงเครียด (Detente) ไทยได้ปรับปรุงแนวนโยบายต่อประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และไทยกับสหภาพโซเวียตได้พยายามที่จะหันมาพัฒนาความสัมพันธ์ที่มี ต่อกันให้ดีขึ้น แต่เมื่อสหภาพโซเวียตได้เข้ามาเป็นพันธมิตรกับเวียดนามและสนับสนุนเวียดนามในปัญหากัมพูชาก่อให้เกิดความวิตกกังวลในการเสียดุลอำนาจให้แก่ไทยเป็นอย่างมากจนกลาย เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง ในขณะเดียวกันไทยได้เขยิบเข้าไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนและสหรัฐฯมากขึ้นซึ่งทั้งสองประเทศเป็นฝ่ายต่อต้านสหภาพโซเวียต จึงยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียตมากขึ้น ฉะนั้นตราบใด ที่ปัญหากัมพูชายังคงอยู่ในสภาวะชะงักเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพโซเวียต ก็มิอาจจะพัฒนาให้ดีขึ้นไปกว่านี้ได้ ทั้งๆที่มีความพยายามจากทั้งสองประเทศที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ดีขึ้นกว่าสภาพปัจจุบันก็ตาม

Share

COinS