Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Pregnant women's perception of maternal roles
Year (A.D.)
1983
Document Type
Thesis
First Advisor
จินตนา ยูนิพันธุ์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
DOI
10.58837/CHULA.THE.1983.31
Abstract
ศึกษาการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์ โดยคำนึงถึงตัวแปรดังนี้ คือ อายุครรภ์ อายุ ระดับการศึกษาและประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ ตัวอย่างประชากรเป็นหญิงมีครรภ์ ครรภ์แรกที่มาฝากครรภ์ในโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพมหานคร 3 แห่ง จำนวนทั้งสิ้น 180 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ การรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น หาค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงของแบบวัดได้ 0.80 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยจำแนกเป็น สถานภาพของผู้ถูกสัมภาษณ์ แจกแจงเป็นร้อยละ คำนวณคะแนนรวมการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาแต่ละด้านเป็นรายข้อ เปรียบเทียบการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาในหญิงที่มีอายุครรภ์ต่างกัน โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เปรียบเทียบการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาในหญิงที่มีอายุต่างกันร่วมกับระดับการศึกษาต่างกัน โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนชนิด 2 ทาง และเมื่อพบว่ามีความแตกต่างและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างคู่โดยการทดสอบค่าคิว (q-statistics) ของนิวแมน คูลส์ (Newman Keuls test) และเปรียบเทียบการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์ที่มีประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ต่างกัน โดยวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (X-bar) และหาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ คือ 1) ค่าคะแนนเฉลี่ยเป็นรายข้อของแต่ละด้าน ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี 2) หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ต่างกัน มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างคู่ พบว่าหญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์อยู่ในระยะที่ 2 ของการตั้งครรภ์มีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ดีกว่าหญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์อยู่ในระยะที่ 1 ของการตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์อยู่ในระยะที่ 3 ของการตั้งครรภ์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ดีกว่าหญิงที่มีอายุครรภ์อยู่ในระยะที่ 1 ของการตั้งครรภ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ส่วนหญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์อยู่ในระยะที่ 2 และที่ 3 ของการตั้งครรภ์มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาไม่ต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยนี้สนองสมมติฐานที่ว่า หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ต่างกัน มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาต่างกัน 3) การรับรู้รวมของหญิงมีครรภ์ที่มีอายุต่างกันกับระดับการศึกษาต่างกัน หญิงมีครรภ์ที่มีอายุ 20 ปี และต่ำกว่า อายุ 21-30 ปี อายุ 31 ปี และสูงกว่า มีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาโดยส่วนรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสนองสมมติฐานข้อ 2 ที่ว่า หญิงมีครรภ์ที่มีอายุต่างกันมีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาต่างกัน และเมื่อนำมาทดสอบความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างคู่ พบว่า หญิงมีครรภ์อายุ 31 ปี และสูงกว่า มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาดีกว่าหญิงมีครรภ์ที่มีอายุ 20 ปี และต่ำกว่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หญิงมีครรภ์ที่มีอายุ 21-30 ปี มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดากว่าหญิงมีครรภ์ที่มีอายุ 20 ปี และต่ำกว่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนหญิงมีครรภ์ที่มีอายุ 21-30 ปี และกลุ่มอายุ 31 ปี และสูงกว่า มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาไม่แตกต่างกัน หญิงมีครรภ์ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษา มีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาโดยส่วนรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งสนองสมมติฐานข้อ 3 ที่ว่า หญิงมีครรภ์ที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาต่างกัน และเมื่อนำมาทดสอบความแตกต่างของค่าคะแนนเฉลี่ยระหว่างคู่ พบว่า หญิงมีครรภ์ที่มีระดับการศึกษามัธยมศึกษามีการรับรู้ดีกว่าหญิงมีครรภ์การศึกษาประถมศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หญิงมีครรภ์ที่มีระดับการศึกษาอุดมศึกษา มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาดีกว่าหญิงมีครรภ์ระดับประถมศึกษาอย่างมมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนหญิงมีครรภ์ระดับการศึกษามัธยมศึกษา และอุดมศึกษา มีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาไม่แตกต่าง การรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์ในกลุ่มอายุต่างๆ ในแต่ละระดับการศึกษาไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานข้อ 4 ที่ตั้งไว้ 4) การรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์ที่มีประสบการณ์การตั้งครรภ์ในทางบวก กับหญิงมีครรภ์ที่มีประสบการณ์การตั้งครรภ์ในทางลบ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยไม่เป็นไปตามสมมติฐานข้อ 5 ที่ตั้งไว้ แสดงว่าหญิงมีครรภ์ที่มีประสบการณ์ในการตั้งครรภ์ต่างกันมีการรับรู้บทบาทการเป็นมารดาไม่ต่างกัน ผู้วิจัยได้เสนอแนะการปฏิบัติการพยาบาล โดยอาศัยผลการวิจัยครั้งนี้ด้วย
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ภาคธูป, มณีรัตน์, "การรับรู้บทบาทการเป็นมารดาของหญิงมีครรภ์" (1983). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 16707.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/16707