Abstract
เหตุผลของการทำวิจัย : ภาวะตับคั่งไขมันที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วโลก โดยมีความชุกในวัยผู้ใหญ่ประมาณร้อยละ 20 - 40ปัจจุบันได้มีเครื่องมือซึ่งนำมาช่วยวินิจฉัยภาวะตับคั่งไขมันและพังผืดในตับได้ไวมากขึ้น คือ เครื่อง Controlled attenuation parameter withtransient elastography (CAP-TE) ทางผู้วิจัยจึงได้นำมาใช้ในงานวิจัยนี้วัตถุประสงค์ : เพื่อเปรียบเทียบความชุกของภาวะตับคั่งไขมันที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ในกลุ่มบุคลากรของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่มีและไม่มีภาวะอ้วนลงพุง และเพื่อหาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะตับคั่งไขมัน อย่างมีนัยสำคัญที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์วิธีการทำวิจัย : งานวิจัยดำเนินการเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมพ.ศ. 2559 ถึงเดือนตุลาคมพ.ศ. 2559 โดยทำการสุ่มประชากรจากบุคลากรโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ทั้งหมด 250 ราย หลัง จากให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยได้ผู้เข้าร่วมงานวิจัย 161 ราย โดยทำการเก็บข้อมูล ได้แก่ อายุ เพศน้ำหนัก ส่วนสูง รอบเอว รอบสะโพก ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มต่อวันการมีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร ระดับไขมันในเลือด ค่าการทำงานของตับผลเลือดไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี หลังจากนั้นทำการตรวจหาภาวะตับคั่งไขมันและปริมาณพังผืดในตับด้วยเครื่อง CAP-TEโดยวัดทั้งหมด 10 ครั้ง และแสดงค่ามัธยฐาน ซึ่งพังผืดตับถูกวัดออกมาในหน่วยกิโลปาสคาล และปริมาณไขมันในตับจะวัดออกมาในหน่วยเดซิเบล/เมตร ภาวะตับคั่งไขมันคือมีปริมาณไขมันในตับมากกว่าร้อยละ 10 แต่หากปริมาณไขมันในตับมากกว่าร้อยละ 33จะเรียกว่าภาวะตับคั่งไขมันอย่างมีนัยสำคัญ และหากมากกว่าร้อยละ66 เรียกว่าภาวะตับคั่งไขมันอย่างรุนแรง ส่วนภาวะอ้วน คือ การมีดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตรผลการศึกษา : มีผู้ที่มีภาวะตับคั่งไขมัน 99 รายจากผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 161 ราย(ร้อยละ 61.5) โดยพบว่ากลุ่มที่มีภาวะอ้วนลงพุงนั้นมีความชุกของภาวะตับคั่งไขมันสูงกว่ากลุ่มที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (ร้อยละ 97 และร้อยละ 52 ตามลำดับ, P < 0.001) โดยปัจจัยเสี่ยงของภาวะตับคั่งไขมันอย่างมีนัยสำคัญ คือ ภาวะอ้วน (OR 12.4,95% CI 5.8 - 26.4) รอบเอวที่เพิ่มขึ้น (OR 11.0, 95% CI 4.9 - 24.4)มีโรคความดันโลหิตสูง (OR 5.5, 95% CI 1.9 - 15.9) การมีระดับน้ำตาลหลังอดอาหารมากกว่า 100 มก./ดล. (OR 3.3, 95% CI 1.4 -7.7) ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (OR 8.7, 95% CI 3.1 - 24.6)ระดับโคเลสเตอรอลชนิดเอชดีแอลในเลือดต่ำ (OR 3.5, 95% CI 1.7 -7.1) รวมถึงมีภาวะอ้วนลงพุง (OR 26.6, 95% CI 7.6 - 92.6) เมื่อนำปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวไปทำ Multivariate analysis พบว่าตัวแปรที่มีนัยสำคัญทางสถิติ คือ ภาวะอ้วน (OR 3.6, 95% CI 1.3 - 9.9,P = 0.014) และค่าการทำงานของตับ (ALT)(OR 1.05, 95% CI 1.00 -1.09, P = 0.03) นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ที่มีภาวะพังผืดตับสูงอย่างมีนัยสำคัญ (มากกว่า 7 กิโลปาสคาล) ร้อยละ 3.8 และผู้ที่มีภาวะไขมันคั่งตับรุนแรง (ไขมันในตับมากกว่าร้อยละ 66) ร้อยละ 19.3สรุป : ความชุกของภาวะตับคั่งไขมันของประชากรตัวอย่างในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จากการวินิจฉัยด้วยเครื่อง CAP-TE คือ ร้อยละ 61.5โดยที่ความชุกของภาวะตับคั่งไขมันในกลุ่มที่มีภาวะอ้วนลงพุงสูงกว่ากลุ่มที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและพบความชุกของภาวะพังผืดตับร้อยละ 3.8.
DOI
10.58837/CHULA.CMJ.61.4.7
First Page
483
Last Page
495
Recommended Citation
แหวนดวงเด่น, กุลวดี; ชัยธีรกิจ, รุ่งฤดี; ถานะภิรมย์, เกศรินทร์; ศรศิริ, กนกวรรณ; and ตรีเสริฐสุข, สมบัติ
(2017)
"การเปรียบเทียบความชุกของภาวะตับคั่งไขมันที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ในผู้ที่มี และผู้ที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุงด้วยเครื่อง controlled attenuation parameterwith transient elastography (CAP-TE),"
Chulalongkorn Medical Journal: Vol. 61:
Iss.
4, Article 8.
DOI: https://doi.org/10.58837/CHULA.CMJ.61.4.7
Available at:
https://digital.car.chula.ac.th/clmjournal/vol61/iss4/8