•  
  •  
 
Chulalongkorn Medical Journal

Abstract

เหตุผลของการทำวิจัย : ปัญหาหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลัน (acute shunt occlusion orblockage) ในผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดเขียว ที่เข้ารับการผ่าตัด modified Blalock-Taussig shunt (MBTS) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้ป่วยได้วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาหาปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลัน อันอาจเป็นประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัยและวางแผนป้องกันภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลัน ซึ่งอาจช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดตามมาได้วิธีดำเนินการวิจัย : เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดเขียวอายุ 0 – 3 เดือนที่เข้ารับการผ่าตัด MBTS ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2545 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553จำนวน 123 ราย โดยแบ่งเป็นข้อมูลทั่วไป ข้อมูลก่อนและหลังการผ่าตัดข้อมูลการผ่าตัด แล้วนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ เพื่อหาความสัมพันธ์ต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลันผลการวิจัย : ผู้ป่วยจำนวนทั้งหมด 123 ราย อายุเฉลี่ย 28 วัน น้ำหนักตัวเฉลี่ย 3.17กิโลกรัม ขนาดของหลอดเลือดเทียมที่ใช้อยู่ระหว่าง 2.5 - 5.0 มิลลิเมตรพบอุบัติการณ์การเกิดภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลันจำนวน22 ราย (17.9%) โดยพบว่าปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ น้ำหนักตัวของผู้ป่วย, ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ subclavian artery, ขนาดของหลอดเลือดเทียมที่ใช้, และการให้ PGE1 เป็นระยะเวลานานในผู้ป่วยที่มีpatent ductus arteriosus (PDA) ก่อนการทำผ่าตัด (P value = 0.007,0.00, 0.042 และ 0.001 ตามลำดับ) การเปลี่ยนแปลงของความเข้มข้นของออกซิเจน (SpO2) ที่ลดลง 4 ชั่วโมงหลังผ่าตัดเป็นสิ่งที่บ่งชี้อย่างหนึ่งว่าอาจเริ่มมีภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเกิดขึ้น (P value = 0.012)ผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลันจำนวน 22 ราย ได้รับการรักษาโดยการทำ cardiac catheterization with interventionเพียงอย่างเดียว 13 ราย, ทำ cardiac catheterization และส่งผ่าตัด7 ราย ส่วนผู้ป่วยอีก 2 รายเสียชีวิตก่อนจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันสรุป : ภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลันส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายใน24 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด โดยพบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลัน ได้แก่ น้ำหนักตัวของผู้ป่วย,ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ subclavian artery, ขนาดของหลอดเลือดเทียมที่ใช้, และการให้ PGE1 เป็นระยะเวลานาน การรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดเทียมตีบตันเฉียบพลันโดยวิธี cardiac catheterizationwith intervention เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีและอาจใช้ทดแทนการผ่าตัดแก้ไขเร่งด่วนได้.

DOI

10.58837/CHULA.CMJ.61.1.7

First Page

73

Last Page

85

Share

COinS
 
 

To view the content in your browser, please download Adobe Reader or, alternately,
you may Download the file to your hard drive.

NOTE: The latest versions of Adobe Reader do not support viewing PDF files within Firefox on Mac OS and if you are using a modern (Intel) Mac, there is no official plugin for viewing PDF files within the browser window.