Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

แบบแผนชีวิตชุมชนที่มีผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีกะเหรี่ยง ที่กิ่งอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The effect of community's way of life on fertility of karen woman at king Amphoe Suan Phung Ratchaburi Province

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

นพวรรณ จงวัฒนา

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

สังคมวิทยามหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.568

Abstract

วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงลักษณะการดำเนินชีวิตของบุคคลในชุมชนกะเหรี่ยงที่อาจมีผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ของสตรีโดยได้พิจารณาข้อมูลทั่ว ๆ ไปทั้งในด้านที่เกี่ยวกับลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลที่ใช้เป็นข้อมูลปฐมภูมิที่ผู้วิจัยได้เข้าไปเก็บรวบรวมด้วยตนเอง ในระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2521 ประชากรที่ตกเป็นตัวอย่างมีทั้งสิ้น 358 ครัวเรือนจากชาวกะเหรี่ยงทั้งหมด 14 หมู่บ้าน ในตำบลสวนผึ้ง และตำบลบ้านบึง ผลของการศึกษาถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจพบว่าสตรีกะเหรี่ยงเกือบทั้งหมดมีสามีที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม จึงมีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยสูงกว่าสตรีที่มีสามีประกอบอาชีพอื่น ๆ (5.2 คน) โดยเฉพาะสตรีที่มีสามีประกอบอาชีพรับราชการจะมีจำนวนบุตรเกิดรอดโดยเฉลี่ยน้อยที่สุด (3.0 คน) ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะแปรผันไปบ้าง เมื่อพิจารณาในแต่ละหมวดอายุของสตรี แต่ถึงอย่างไรก็ตามสตรีที่มีสามีประกอบอาชีพเกษตรกรรมยังคงมีจำนวนบุตรเกิดรอดสูงกว่าทุกอาชีพอื่น สำหรับความสัมพันธ์ของอาชีพสตรีกับภาวะเจริญพันธุ์พบว่า ลักษณะการทำงานของสตรีไม่ขัดต่อบทบาทและภาระในการมีบุตร จึงทำให้สตรีส่วนใหญ่ในสังคมกะเหรี่ยงทำงานในด้านการเกษตร ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้มีจำนวนบุตรเกิดรอดเฉลี่ยสูงสุด (5.2 คน) สตรีเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานในครัวเรือน เพราะลักษณะการทำงานไม่ต้องใช้เทคนิคในการผลิตหรือความรู้มากนัก สำหรับสตรีที่ไม่ได้ประกอบอาชีพในปีที่เข้าไปสัมภาษณ์เป็นสตรีที่อายุน้อยและผ่านชีวิตสมรสมาไม่นานจึงมีจำนวนบุตรเกิดรอดค่อนข้างต่ำ (3.4 คน) ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างที่ดินที่เป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตกับภาวะเจริญพันธุ์พบว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีน้อยดังเช่น เมื่อพิจารณาถึงความเพียงพอของที่ดินที่ใช้กับทัศนคติในเรื่องจำนวนบุตรในอุดมคติจะค่อนข้างใกล้เคียงกับระหว่างผู้ที่มีที่ดินตั้งแต่ 40 ไร่ขึ้นไป (4.1 คน) และผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง (4.5 คน) รวมไปถึงการพิจารณารายได้ของคู่สมรสมีลักษณะของแบบแผนที่ไม่แน่นอนในกลุ่มของผู้มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง ทั้งนี้เป็นเพราะแบบแผนชีวิตที่คล้ายคลึงในสังคมยกเว้นการพิจารณาจากผู้มีรายได้สูง จะเห็นได้ว่าภาวะเจริญพันธุ์จะเริ่มลดลงบ้างและเช่นเดียวกันกับการศึกษาถึงระดับฐานะทางเศรษฐกิจก็ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงภาวะเจริญพันธุ์ได้ ทั้งนี้เพราะระดับฐานะทางเศรษฐกิจในสังคมกะเหรี่ยงค่อนข้าง[ไล่เลี่ย]กันความแตกต่างจึงมีอยู่น้อย โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับต่ำ สำหรับปัจจัยทางด้านประชากร ปรากฏว่าอายุแรกสมรสมีความสัมพันธ์กับภาวะเจริญพันธุ์ กล่าวคือจำนวนบุตรเกิดรอดจะลดลงถ้าสตรีมีอายุแรกสมรสเพิ่มขึ้นและเมื่อพิจารณาในแต่ละหมวดอายุพบว่าได้ผลเช่นเดียวกันแต่ทั้งนี้จะเป็นแบบแผนค่อนข้างชัดเจนเฉพาะในกลุ่มอายุตอนต้นของสตรี ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับประชากร เช่น ระยะเวลาการสมรสที่ยาวนาน สตรีใช้ชีวิตสมรสอยู่ร่วมกันกับสามีตลอดเวลาทำให้สตรีมีโอกาสมีบุตรจำนวนมาก ภาวะเจริญพันธุ์จึงค่อนข้างสูง แต่จากการมีครอบครัวขนาดใหญ่ทำให้สุขภาพอนามัยทั้งของมารดาและทารกไม่ดี จึงทำให้มีการล้มเหลวของการตั้งครรภ์ในทุกกลุ่มอายุ ประสบการณ์ที่มีการตายของทารก ทำให้สตรีกะเหรี่ยงต้องมีบุตรทดแทนจำนวนที่ขาดหายไป ความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติในด้านวิธีการป้องกันการปฏิสนธิมีน้อยและมีความเชื่อที่ผิด ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคที่สำคัญทำให้สตรีกะเหรี่ยงไม่ค่อยยอมรับความรู้ใหม่ ๆ ที่เข้าไปเผยแพร่ ประกอบกับการเผยแพร่ความรู้เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง การปฏิบัติในด้านวิธีการป้องกันการปฏิสนธิจึงมีอยู่เฉพาะในหมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างไกลนักและสตรีที่กำลังปฏิบัติวิธีใดวิธีหนึ่งอยู่ไม่ใช่เพื่อการวางแผนครอบครัวแต่เป็นการใช้ปฏิบัติเมื่อสตรีได้มีบุตรในจำนวนมากแล้ว ในด้านปัจจัยทางสังคม เมื่อพิจารณาถึงการศึกษาของคู่สมรส ปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนที่มีการศึกษาอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเมื่อศึกษาถึงการศึกษาของสามีของสตรีชาวกะเหรี่ยง สตรีส่วนใหญ่ที่มีสามีไม่เคยได้รับการศึกษามีจำนวนบุตรเกิดรอดเฉลี่ยสูงสุด 5.6 คน และลดน้อยลงตามระดับการศึกษาที่เพิ่มขึ้น สำหรับการศึกษาของสตรีได้ข้อมูลที่แปรผันไปเนื่องมาจาก กลุ่มผู้รู้หนังสือมีน้อย ลักษณะการดำรงชีวิตที่คล้ายคลึงกัน สตรีอาจเคยเข้าโรงเรียนแต่ไม่ได้ใช้ความรู้ วิถีการดำเนินชีวิตจึงไม่แตกต่างกัน ยกเว้นสตรีที่มีความรู้มากกว่าระดับประถมศึกษาขึ้นไป ดังนั้นภาวะเจริญพันธ์ของสตรีที่มีระดับการศึกษาต่างกันจึงไม่แตกต่างกันมากนักยกเว้นสตรีที่มีความรู้สูงกว่าระดับประถมศึกษาขึ้นไป และจากการที่สถานภาพทางการศึกษาต่ำเป็นสังคมชนบทจึงทำให้สังคมกะเหรี่ยงยังคงมีความเชื่อ ทัศนคติในสิ่งที่งมงายและไร้เหตุผลอยู่บ้างการเปลี่ยนแปลงแนววิถีชีวิตค่อนข้างช้า รวมไปถึงทัศนคติในการดำเนินชีวิตส่วนอื่น ๆ เช่น ทัศนคติของสตรีในเรื่องการไม่สมรส สตรีกะเหรี่ยงยังคงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีนักในสังคม รวมทั้งลักษณะขนบประเพณีการสมรสไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย สตรีมีโอกาสเลือกคู่ครองด้วยตนเองโดยคำนึงถึงความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพเป็นหลักใหญ่ ทั้งนี้เนื่องมาจากลักษณะของงานที่ต้องใช้แรงกายและความบากบั่นหมั่นเพียรเป็นหลักสำคัญ สตรีจึงสมรสมากกว่าการอยู่เป็นโสด สถานภาพการสมรสมั่นคงไม่ค่อยมีการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ แต่สตรีอาจจะสมรสใหม่เมื่อสถานภาพการสมรสเดิมสิ้นสุดลง เมื่อพิจารณาจากทุก ๆ ปัจจัยประกอบกันจะเห็นได้ว่ากลุ่มชนชาวกะเหรี่ยงมีลักษณะแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ความแตกต่างในสังคมมีน้อยมาก กล่าวคือเป็นสังคมเกษตรกรรมอยู่ในเขตชนบท ด้อยการศึกษายังคงมีความเชื่อในเรื่องโชคลางไสยศาสตร์อยู่ สตรีมีโอกาสไปติดต่อกับสังคมภายนอกน้อย สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบที่ให้สตรีมีภาวะเจริญพันธ์ที่สูงได้

Share

COinS