Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เศรษฐกิจวัดในกรุงเทพมหานคร (พ.ศ. 2325-2453)

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The economy of the wat in Bangkok 1782-1910

Year (A.D.)

1982

Document Type

Thesis

First Advisor

ฉัตรทิพย์ นาถสุภา

Second Advisor

วไล ณ ป้อมเพชร

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ประวัติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1982.597

Abstract

สถาบันวัดและสงฆ์ไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นสถาบันตัวแทนที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย วัดและสงฆ์มักได้รับการพิจารณาว่าอยู่เหนือความต้องการทางโลก แต่ในสภาพที่เป็นจริงวัดและสงฆ์ก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจซึ่งวัดต้องเข้ามาเกี่ยวพันด้วย เนื่องจากวัดต้องมีการใช้จ่ายทางเศรษฐกิจเพื่อกิจการศาสนาเหมือนเอกชนอื่น แต่การศึกษาความเป็นมาของเศรษฐกิจวัดไทยยังมิได้มีการศึกษากันอย่างจริงจัง วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงเป็นงานที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจวัดในกรุงเทพมหานคร ในระหว่างปี พ.ศ.2325-2453 อันเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของวัดอย่างใหญ่หลวง เพื่อมุ่งให้เกิดความเข้าใจความเป็นมาของเศรษฐกิจวัดไทยตั้งแต่อดีตจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจใหม่และเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจวัดในกรุงเทพมหานครภายใต้สภาพการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น รวมทั้งการดำเนินนโยบายของรัฐต่อเศรษฐกิจวัดตลอดจนถึงการพัฒนาการของเศรษฐกิจวัดและผลกระทบของเศรษฐกิจวัดต่อเศรษฐกิจและสังคมส่วนรวม ผลของการวิจัยพบว่าแม้วัดมิได้กำเนิดมาเพื่อเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจแต่วัดก็มีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมาตั้งแต่สมัยโบราณในฐานะเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตที่สำคัญ อันได้แก่ ที่ดินและแรงงานซึ่งวัดได้อาศัยปัจจัยเหล่านี้สร้างให้วัดกลายเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งสถาบันหนึ่งในประวัติศาสตร์สังคมศักดินาไทยอย่างไรก็ตาม เนื่องจากเศรษฐกิจวัดมิได้พัฒนาขึ้นมาจากทรัพย์สินภายในของวัดเอง แต่มาจากการรับความอุดหนุนจากรัฐและราษฎรเป็นสำคัญ ประกอบกับพุทธจักรไม่เคยมีอำนาจเท่าเทียมหรือเหนือกว่าอาณาจักรอย่างศาสนจักรในยุโรปสมัยกลาง ทำให้เศรษฐกิจวัดไม่สามารถเป็นอิสระจากรัฐและพัฒนาเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งได้ ดังวัดในยุโรปสมัยกลาง การควบคุมจากรัฐและกฎวินัยของสงฆ์เองกีดกันการพัฒนาเศรษฐกิจของวัดแต่วัดก็อาศัยความสัมพันธ์แบบพึ่งพาและอภิสิทธิ์จากรัฐ รวมทั้งการเป็นผู้กุมเนื้อนาบุญอันเป็นหนทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าของราษฎร มาเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งผลประโยชน์ทรัพย์สินของวัด การสร้างระบบความเชื่อที่ว่าวัดและสงฆ์คือความอยู่รอดของศาสนา ทำให้วัดสามารถดูดซับผลประโยชน์จากราษฎรได้อย่างเนียบเนียนและเต็มใจ ดังนั้น วัดจึงอาศัยบุญเก่าคือทรัพย์สินเดิมที่รัฐมอบให้กับการกุมหนทางไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าสร้างเศรษฐกิจวัดให้มั่นคงขึ้น เป็นเหตุให้รัฐและราษฎรต้องเสียค่าใช้จ่ายในกิจการศาสนาสูงมาก รายจ่ายทางศาสนาหรือภาษีวัดจึงเป็นรายจ่ายที่สำคัญของแผ่นดิน จากนั้นวัดก็อาศัยทรัพย์สินเหล่านี้สร้างฐานเศรษฐกิจต่อไปจนปรากฎว่าวัดบางส่วนในกรุงเทพมหานครสามารถพึ่งพาตนเองจนเกือบไม่ต้องอาศัยการอุดหนุนจากรัฐและราษฎร การดูดกลืนผลประโยชน์จำนวนมากของวัดจากสังคมและถ่ายคืนให้แก่สังคมเป็นจำนวนน้อยทำให้วัดมีส่วนในการบั่นทอนเศรษฐกิจและสังคม แม้กระนั้นวัดก็มีคุณูปการทางจิตใจและสังคมอย่างยากที่จะมองข้ามไปได้ เศรษฐกิจวัดเจริญเติบโตมากขึ้นในรัชกาลที่ 5 จนบางวัดกลายเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจที่มีการดำเนินงานทาง ธุรกิจ มีทรัพย์สินในครอบครองและมีผู้จัดการผลประโยชน์แม้วัดจะมิได้ดำเนินธุรกิจเองโดยตรงก็ตาม การดิ้นรนของวัดเพื่อความอยู่รอดภายใต้ระบบเศรษฐกิจศักดินาผสมทุนนิยมนี้ ทำให้วัดต้องละทิ้งหน้าที่และความบริสุทธิ์บางส่วน การเบี่ยงเบนไปจากจุดมุ่งหมายเดิมของวัดและการกลายเป็นนายทุนน้อยของวัดในกรุงเทพมหานครในปัจจุบันกำลังเป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง

Share

COinS