Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสารกับกระบวนการสังคมประกิตทางการเมือง ของประชาชนในท้องที่บางชัน เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The relation between communication behavior and political socialization of the people in Bangchan Area, Minburi, Bangkok Metropolis

Year (A.D.)

1981

Document Type

Thesis

First Advisor

ชนวดี บุญลือ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การประชาสัมพันธ์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1981.293

Abstract

แนวทางของการพัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยที่สำคัญแนวทางหนึ่ง คือการ ทำให้ประชาชนในประเทศมีวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นแบบประชาธิปไตย ซึ่งในเรื่องนี้ ได้มีนักวิชาการทางสังคมวิทยาการเมืองหลายท่านได้อธิบายไว้ว่า กระบวนการสังคมประกิตทางเมือง (Political Socialization Process) เป็นกระบวนที่หล่อหลอมให้บุคคลที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองโดยผ่านตัวแทน (Agents) ของกระบวนการสำหรับการสื่อสาร (Communication) มีฐานะที่เป็นทั้งตัวแทนประเภทหนึ่งและเป็นทั้งโครงสร้างพื้นฐานของสังคม (Social Infrastructure) มีผู้กล่าว่า “กระบวนการสังคมประกิตทั้งหมด ก็คือ กระบวนการสื่อสารนั้นเอง" การสื่อสารจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีอิทธิพลของพฤติกรรมการสื่อสารที่มีต่อกระบวนการสังคมประกิตทางการเมืองในขอบเขต ของตัวแปรย่อย ได้แก่ การมีทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย การมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเมืองแบบประชาธิปไตย การมีความสนใจทางการเมือง การมีส่วนร่วม ทางการเมือง และการมีความรู้สึกแยกตนเองจากการเมือง พร้อมทั้งนำเอาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาร่วมศึกษาพร้อมกันไปด้วย ได้แก่ ปัจจัยการเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดเห็น ปัจจัยการมีประสบการณ์ในเหตุการณ์ทางการเมือง ปัจจัยประชากร และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม วิธีการวิจัยได้กระทำโดยการสำรวจภาคสนามเพื่อศึกษากลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นตัวแทนประชากรสองกลุ่มอาชีพในท้องถิ่นที่บางชัน เขตมีนบุรี กทม. คือ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพในโรงงานอุตสาหกรรม รวมจำนวน 295 คน โดยศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของข้อมูลในระหว่างกลุ่มทั้งสอง ผลที่ได้จากการวิจัยคือ ทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้ทำงานโรงงานอุตสากรรม อยู่ในระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยมากที่สุดคือ การสื่อสารในกลุ่มเพื่อน รองลงไปคือ ลักษณะครอบครัว Concept – Oriented การเปิดรับสื่อมวลชน (ซึ่งหมายถึง การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ และการชมโทรทัศน์) และการศึกษาตามลำดับ เมื่อพิจารณาแยกตามกลุ่ม พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของกลกุ่มเกษตรกรมากที่สุดคือ ลักษณะครอบครัวแบบ Concept – Oriented ส่วนกลุ่มที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมคือ การสื่อสารในกลุ่มเพื่อน ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเมืองแบบประชาธิปไตยของกลุ่มที่ทำงานโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางและระดับสูง แต่ของกลุ่มเกษตรกรอยู่ในระดับต่ำ สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรู้ความเข้าใจ เรื่องการเมืองแบบประชาธิปไตยมากที่สุด ได้แก่ การอ่านหนังสือพิมพ์ รองลงไปคือ การสื่อสารในกลุ่มเพื่อนและการศึกษาตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาในแต่ละกลุ่ม พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความรู้ความเข้าใจเรื่องการเมืองแบบประชาธิปไตยของกลุ่มเกษตรกร และกลุ่มที่ทำงานโรงงานอุตสาหกรรมต่างก็คือ การอ่านหนังสือพิมพ์ เช่นเดียวกัน ในเรื่องความสนใจทางการเมือง ปรากฏว่า ทั้งกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มทำงานโรงงานอุตสาหกรรม จะมีความสนใจทางการเมืองอยู่ในระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อความสนใจทางการเมืองมากที่สุดคือ การเปิดรับสื่อมวลชน (ซึ่งหมายถึง การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ และการชมโทรทัศน์ ) รองลงมาได้แก่ การมีประสบการณ์ทางการเมือง และการสื่อสารระหว่างบุคคล ตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาในแต่ละกลุ่ม ปรากฏว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความสนใจทางการเมืองของกลุ่มเกษตรกรมากที่สุด คือการเปิดรับสื่อมวลชน (การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ และการชมโทรทัศน์ ) ส่วนของกลุ่มทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม คือ การสื่อสารในกลุ่มเพื่อน ทั้งกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มทำงานโรงงานอุตสาหกรรมต่างก็มีส่วนร่วมในทางการเมืองในระดับต่ำเป็นส่วนใหญ่ สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มทั้งสอง ที่สำคัญที่สุดได้แก่ การสื่อสารในกลุ่มเพื่อน รองลงไปได้แก่การมีประสบการณ์ทางการเมืองและลักษณะครอบครัวแบบ Concept- Oriented ตามลำดับ แต่เมื่อแยกพิจารณาแต่ละกลุ่ม ปรากฏว่า ทั้งกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มทำงานโรงงานอุตสาหกรรมต่างก็มีปัจจัยการสื่อสารในกลุ่มเพื่อนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากที่สุด ทั้งกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มทำงานโรงงานอุตสาหกรรม ต่างก็มีความรู้สึกถูกตัดขาดจากการเมืองอยู่ในระดับปานกลางและระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกแยกตนเองจากการเมืองของทั้งสองกลุ่มนั้น ปรากฏว่าไม่มีปัจจัยใดที่มีความสำคัญอย่างชัดเจน สรุปได้ว่า ผลของการวิจัยครั้งนี้ สนับสนุนแนวความคิดที่จะใช้พลังแฝงของการสื่อสารให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาการเมืองได้ ดังนั้น จึงอาจนำไปอนุมานใช้ประกอบการพิจารณาวางแผนการใช้การสื่อสารเพื่อช่วยในการพัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยได้บ้างไม่มากก็น้อย

Share

COinS