Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
พฤติกรรมการสื่อสารกับสังคมประกิตทางการเมืองศึกษาเฉพาะกลุ่มนักศึกษาวิชาการสื่อสาร
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Communication behavior and political socialization : A study among communication students
Year (A.D.)
1981
Document Type
Thesis
First Advisor
ธนวดี บุญลือ
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
การประชาสัมพันธ์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1981.288
Abstract
การทำให้ประชาชนมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย เป็นวิถีทางหนึ่งที่จะทำให้การพัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้ และสิ่งที่จะช่วยให้ประชาชนมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยได้นั้น ก็คือกระบวนการสังคมประกิตทางการเมือง ที่ทำการถ่ายทอดโดยผ่านตัวแทนประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภท การสื่อสารจัดเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมที่อาจกล่าวได้ว่า คือกระบวนการสังคมประกิตนั่นเอง ดังนั้นสื่อต่างๆ จึงถือได้ว่าเป็นตัวแทนประเภทหนึ่งของกระบวนการสังคมประกิตทางการเมือง ที่มีความสำคัญต่อบุคคล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์จะศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการสื่อสารกับกระบวนการสังคมประกิตทางการเมืองในเรื่องทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ความสนใจทางการเมือง ความรู้ทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมือง และความรู้สึกแยกตนเองจากการเมืองโดยนำปัจจัยประชากร ปัจจัยทางเศรษฐกิจ และปัจจัยทางสังคม เข้าร่วมศึกษาไปพร้อมกันด้วย กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย จำนวน 314 คน ได้แก่ นิสิตนักศึกษาวิชาการสื่อสารชั้นปีที่ 3 และ 4 ประจำปีการศึกษา 2523 ของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ วิทยาลัยกรุงเทพ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ภาควิชาการโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทั้งนี้เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสถาบัน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของกลุ่มตัวอย่างทุกสถาบันอยู่ในระดับสูงเป็นส่วนใหญ่และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยมากที่สุด เมื่อพิจารณารวมทุกสถาบันคือ การเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือแนวโน้มของครอบครัวแบบ Concept-Orientation ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คือ การเรียนวิชาด้านรัฐศาสตร์ 3 วิชาขึ้นไป โดยมีการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์เป็นปัจจัยอันดับรองลงมา ของวิทยาลัยกรุงเทพคือ การนับถือศาสนาอิสลามหรือไม่นับถือศาสนาใด โดยมีการสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อนเป็นปัจจัยอันดับรองลงมา ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คือ การเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์ และของมหาวิทยาลัยรามคำแหงคือ ระดับอายุ 22-27 ปี โดยมีการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์เป็นปัจจัยอันดับรองลงมา ในเรื่องความสนใจทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่างทุกสถาบันนั้น จะอยู่ในระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับความสนใจทางการเมืองมากที่สุดของกลุ่มตัวอย่างเมื่อพิจารณารวมทุกสถาบันคือ การสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และของมหาวิทยาลัยรามคำแหงคือ การสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อน ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คือ การเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์ และของวิทยาลัยกรุงเทพคือการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากวิทยุ ส่วนความรู้ทางการเมืองของกลุ่มตัวอย่างทุกสถาบัน อยู่ในระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับการมีความรู้ทางการเมืองมากที่สุด เมื่อพิจารณารวมทุกสถาบันคือ การสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือ การนับถือศาสนาพุทธ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คือ การเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์ของวิทยาลัยกรุงเทพคือ เพศชาย โดยมีการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากหนังสือพิมพ์ เป็นปัจจัยอันดับรองลงมา และของมหาวิทยาลัยรามคำแหงคือ การสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อน สำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นปรากฏว่า ทุกสถาบันมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ในระดับปานกลางเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ในระดับสูงและระดับปานกลางในจำนวนที่เท่ากัน และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากที่สุด เมื่อพิจารณารวมทุกสถาบันคือ การสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ การสื่อสารทางการเมืองกับเพื่อน ของวิทยาลัยกรุงเทพ คือ การเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากวิทยุ และของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คือการสื่อสารทางการเมืองกับครูอาจารย์ ตัวแปรในเรื่องความรู้สึกแยกตนเองจากการเมือง นับเป็นตัวแปรที่มีลักษณะแตกต่างไปจากตัวแปรอื่นๆ คือถ้าต้องการจะพัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยแล้ว ควรลดระดับความรู้สึกแยกตนเองจากการเมืองลง ผลการวิจัยพบว่า ทุกสถาบันมีความรู้สึกแยกตนเองอยู่ในระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีความรู้สึกแยกตนเองจากการเมืองในระดับปานกลางมากกว่าระดับสูงเล็กน้อย และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามต่อความรู้สึกแยกตนเองจากการเมืองมากที่สุด เมื่อพิจารณารวมทุกสถาบัน คือ การมีตำแหน่งเป็นกรรมการนักศึกษา โดยมีการสื่อสารทางการเมืองกับครูอาจารย์ เป็นปัจจัยอันดับรองลงมา ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือการเป็นสมาชิกชมรมประเภทกีฬาและบันเทิง โดยมีการสื่อสารทางการเมืองกับครูอาจารย์เป็นปัจจัยอันดับรองลงมา ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือการเปิดรับข่าวสารทางการเมืองจากนิตยสาร ของวิทยาลัยกรุงเทพ คือการมีตำแหน่งเป็นกรรมการนักศึกษา โดยมีการสื่อสารทางการเมืองกับครอบครัวเป็นปัจจัยอันดับรองลงมา และของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คือ การสื่อสารทางการเมืองกับครูอาจารย์ สรุปได้ว่า ผลของการวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามแนวความคิดที่ว่า พฤติกรรมการสื่อสารย่อมมีความสัมพันธ์กับการสังคมประกิตทางการเมืองในระดับที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงอาจนำการสื่อสารสื่อมวลชนและสื่อบุคคลไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยได้
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ชูโต, พัฒนาวดี, "พฤติกรรมการสื่อสารกับสังคมประกิตทางการเมืองศึกษาเฉพาะกลุ่มนักศึกษาวิชาการสื่อสาร" (1981). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 58331.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/58331