Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิเคราะห์ทางการเงินของอุตสาหกรรมแก้วในประเทศไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A financial analysis of glass industry in Thailand

Year (A.D.)

1981

Document Type

Thesis

First Advisor

ปราโมทย์ เพิ่มพานิช

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

บัญชีมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การเงินและการธนาคาร

DOI

10.58837/CHULA.THE.1981.308

Abstract

ผลิตภัณฑ์แก้วเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าศึกษาเรียนรู้และน่าสนใจมาก มีมากมายหลายชนิดหลายแบบนอกจากจะเป็นเครื่องประดับประดาตกแต่งที่สวยงาม หรูหราแก่ผู้เป็นเจ้าของและยังความชื่นชมให้แก่ผู้พบเห็นอันเนื่องมากจากความวิจิตรพิสดารในศิลปวิทยาการและกรรมวิธีการทำแก้วมาแต่โบราณแล้ว ปัจจุบันผลิตภัณฑ์แก้วหลายประเภทยังเป็นเครื่องใช้สำหรับชีวิตประจำวันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาชนะบนโต๊ะอาหาร ขวดแก้วสำหรับบรรจุน้ำ เครื่องดื่มและอาหารสำเร็จรูปมากชนิด กระจกเป็นผลิตภัณฑ์แก้วอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาคารบ้านเรือนและยานพาหนะ ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ในทางวิทยาศาสตร์ชนิดต่างๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์แก้วทำมาจากทรายแก้วซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมายในประเทศนี่เอง ดังนั้นการผลิตผลิตภัณฑ์แก้วประเภทต่างๆในประเทศจึงก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มอย่างสูงแก่ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังสามารถทดแทนการนำเข้าที่สำคัญอีกด้วย ทั้งช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศได้ไม่น้อย วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีเจตนาที่จะศึกษาถึงประเภทของอุตสาหกรรมแก้วในประเทศ ภาวะทั่วไปของอุตสาหกรรมแก้วแต่ละประเภท การช่วยเหลือของรัฐบาล และการวิเคราะห์ทางการเงินของอุตสาหกรรมแก้วแต่ละประเภท แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมแก้วในประเทศไทยแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน ผู้เขียนจึงทำการศึกษาจำกัดเฉพาะประเภทที่สำคัญๆได้แก่ อุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้ว อุตสาหกรรมกระจกแผ่น อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลอง อุตสาหกรรมกระจกนิรภัยรถยนต์ และอุตสาหกรรมหลอดแก้วและขวดแก้วบรรจุยาฉีด สาระสำคัญโดยลำดับมีดังนี้ ประวัติของอุตสาหกรรมแก้วในประเทศไทย เริ่มต้นด้วยการเป่าแก้วโดยใช้แรงคนในโรงงานขนาดเล็กเมื่อประมาณ 50 -60 ปีที่ผ่านมา ผลิตเฉพาะภาชนะแก้วที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นแก้วน้ำ ขวดโหล ต่อมาจึงมีการผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมที่แท้จริง ด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ โดยบริษัทอุตสาหกรรมเครื่องแก้วไทย จำกัด และองค์การแก้วของรัฐบาล ซึ่งทั้ง 2 แห่ง เน้นหนักการผลิตขวดแก้วและภาชนะแก้วเป็นหลัก ต่อมาจึงมีผู้ผลิตกระจกแผ่น หลอดแก้วบรรจุยาฉีด กระจกนิรภัย รถยนต์ฯ ตามมา อุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้วในปัจจุบันมีผู้ผลิต 25 ราย จำนวนเงินลงทุนทั้งสิ้น ประมาณ 1,200 ล้านบาท ผู้ผลิตมีขนาดเงินลงทุนตั้งแต่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทไปจนถึงสูงกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งอาจะแยกประเภทของผู้ผลิตออกตามจำนวนเงินลงทุนได้ 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ประเภทที่มีเงินลงทุนต่ำกว่า 10 ล้านบาท และประเภทที่มีเงินลงทุนเกิน 100 ล้านบาท ประเภทที่มีเงินลงทุนต่ำว่า 10 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะผลิตภาชนะแก้วด้วยวิธีเป่าด้วยแรงคน ส่วนประเภทที่มีเงินลงทุนเกิน 100 ล้านบาท จะเน้นหนักในการผลิตขวดแก้วที่ได้มาตรฐานด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมนี้ในระยะหลังเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากผู้ผลิตเดิมขยายกำลังการผลิตและมีผู้ผลิตรายใหม่เพิ่มอีกหลายราย ปริมาณการผลิตในภาวะปกติอยู่ในระหว่าง 60% - 80 % ของกำลังการผลิตเท่านั้น โรงงานใดมีเครื่องจักรทันสมัย เทคนิคการผลิตดี และช่างที่ชำนาญงานจะสามารถใช้กำลังการผลิตได้ดีกว่าในโรงงานที่ด้อยกว่า สำหรับในปี 2522 ปริมาณการผลิตมีประมาณ 50% ของกำลังการผลิตเท่านั้น เนื่องจากโรงงานที่ตั้งใหม่ยังผลิตได้ไม่เต็มที่ ในด้านการตลาด จากการที่มีผู้ผลิตเพิ่มขึ้นจึงมีการแข่งขันเพิ่มขึ้นอีก ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตเดิมลดลง แต่บริษัทอุตสาหกรรมทำเครื่องแก้วไทย จำกัด ก็ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด ภาวะตลาดในปี 2523 สำหรับขวดแก้วค่อนข้างซบเซา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำประกอบกับการขึ้นภาษีเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและเบียร์ ซึ่งยังผลให้การบริโภคเครื่องดื่มลดลง อันกระทบกระเทือนถึงอุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้วด้วย อุตสาหกรรมกระจกแผ่นในปัจจุบันมีผู้ผลิตเพียงรายเดียวเท่านั้น คือบริษัทกระจกไทยอาซาฮีจำกัด ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล มีเงินลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท ผู้ผลิตมีกำลังการผลิตเพียงพอที่จะสนองความต้องการใช้ในประเทศ โดยได้เพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้สามารถผลิตได้เองเกือบเต็มกำลังการผลิต อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมผูกขาดจึงไม่ประสบปัญหาการแข่งขันในประเทศ แต่ก็ประสบปัญหาการแข่งขันจากต่างประเทศบ้าง อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลอง มีผู้ผลิตเพียงรายเดียว คือบริษัทอุตสาหกรรมแก้วกรุงเทพ จำกัด ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาล มีเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 8 ล้านบาท ในระยะหลังนี้สินค้าที่ผลิตได้ไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคเท่าที่ควร เพราะคุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐานประกอบกับประสบการแข่งขันจากต่างประเทศมาก ทำให้สินค้าเหลือในคลังสินค้าจำนวนมาก จนผู้ผลิตต้องลดปริมาณการผลิตเอง อุตสาหกรรมกระจกนิรภัยรถยนต์มีผู้ผลิต 3 ราย จำนวนลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 107 ล้านบาท มีกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนอยู่ 2 ราย กำลังการผลิตในระยะแรกๆมีเหลือมาก แต่ในระยะหลังนี้ผู้ผลิตสามารถใช้กำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นเพราะสถานการณ์ทางตลาดดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบรถยนต์มีความเชื่อมั่นในกระจกนิรภัยรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการรถยนต์จำต้องใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศไทยเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นตามนโยบายอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์นั่งฉบับปี พ.ศ. 2521 กระจกนิรภัยจึงได้รับความสนใจใช้มากขึ้น อุตสาหกรรมหลอดแก้วและขวดแก้วบรรจุยาฉีด ปัจจุบันมีผู้ผลิต 3 ราย จำนวนเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 52 ล้านบาท ปริมาณการผลิตของผู้ผลิตในอุตสาหกรรมมีทั้งที่ผลิตได้เกือบเต็มกำลังการผลิตและที่ต่ำกว่ากำลังการผลิตมาก ทั้งนี้ขึ้นกับความประสิทธิภาพของเครื่องจักร เทคนิคการผลิต ความชำนาญ ประสบการณ์และความตั้งใจของคนงาน แม้ว่าการผลิตยาฉีดจะเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ยาฉีดที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ผลิตหลอดแก้วบรรจุยาฉีดก็ตาม แต่ผู้ผลิตหลอดแก้วบรรจุยาฉีดก็ประสบปัญหาการแข่งขันจากต่างประเทศเนื่องจากคู่แข่งขันสามารถขายได้ในราคาที่ต่ำกว่า ในด้านการสนับสนุนช่วยเหลือของรัฐบาล ปัจจุบันกิจการผลิตภัณฑ์แก้วเป็นกิจการที่อยู่ในข่ายได้รับการส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นกิจการผลิตขวดแก้วซึ่งงดให้การส่งเสริมเป็นการชั่วคราวแต่อย่างราก็ตาม ประกาศนโยบายผลิตภัณฑ์แก้วของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ผ่านมาเคยเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมแก้วในประเทศ จากการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินของอุตสาหกรรมแก้วทั้ง 5 ประเภทปรากฏว่าอุตสาหกรรมที่มีสภาพคล่องสูงสุด ได้แก่ อุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้วซึ่งมีอัตราส่วนทุนหมุนเวียนโดยเฉลี่ยสูงถึง 9.16 ซึ่งค่อนข้างสูงเกินความจำเป็น แต่ในอัตราส่วนนี้ประกอบด้วยอัตราส่วนทุนหมุนเวียนโดยเฉลี่ยของกิจการที่มีเงินลงทุนเกินกว่า 100 ล้านบาทเพียง 1.65 ในขณะที่กิจการที่มีเงินลงทุนต่ำกว่า 10 ล้านบาทมีอัตราส่วนนี้โดยเฉลี่ยสูงถึง 10.54 ส่วนอุตสาหกรรมที่สภาพคล่องต่ำสุด ได้แก่อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลองซึ่งมีอัตราส่วนทุนหมุนเวียนอย่างถึงแก่น โดยเฉลี่ยเพียง 0.14 และมีการจัดการสินทรัพย์หมุนเวียนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทางด้านสภาพเสี่ยงอุตสาหกรรมที่มีสภาพเสี่ยงสูงสุดได้แก่ อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลอง ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สิ้นต่อสินทรัพย์โดยรวมเฉลี่ยสูงถึง 98.29% ส่วนอุตสาหกรรมที่มีสภาพเสี่ยงต่ำสุดคืออุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้ว ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์โดยรวมโดยเฉลี่ยเพียง 38.48 % สำหรับสมรรถภาพในการดำเนินงาน อุตสาหกรรมที่มีสมรรถภาพในการดำเนินงานสูงสุดได้แก่ อุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้ว ในขณะที่อุตสาหกรรมที่มีสมรรถภาพในการดำเนินงานต่ำสุด ได้แก่อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลอง ส่วนสมรรถภาพในการหากำไรนั้นอุตสาหกรรมที่มีสมรรถภาพในการหากำไรสูงสุดได้แก่ อุตสาหกรรมกระจกแผ่น ซึ่งมีอัตรากำไรสุทธิต่อค่าขายโดยเฉลี่ย 5.40 % ส่วนอุตสาหกรรมที่มีสมรรถภาพในการหากำไรต่ำสุดคือ อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลอง ซึ่งมีอัตราขาดทุนสุทธิต่อค่าขายโดยเฉลี่ยสูงสุดถึง 75.43% จากการวิเคราะห์งบแสดงที่มาและการใช้ไปของเงินทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติการณ์การจัดหาเงินทุน และการใช้ไปของเงินทุนของธุรกิจว่า เหมาะสมตามนโยบายทางการเงินที่ดีหรือไม่นั้น ซึ่งนโยบายทางการเงินที่ดีคือ การนำเงินลงทุนจากแหล่งระยะสั้นไปใช้ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนและจัดหาเงินทุนจากแหล่งระยะยาวเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ประจำและสินทรัพย์ระยะยาว พบว่า การจัดหาเงินทุนและการใช้ไปของเงินทุนในแต่ละงวดของอุตสาหกรรมแก้ว โดยส่วนรวมยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ดีนัก อุตสาหกรรมที่จัดว่ามีนโยบายทางการเงินที่ค่อนข้างเหมาะสมที่สุดก็คือ อุตสาหกรรมขวดแก้วและภาชนะแก้ว แม้ว่าจะมีการนำทุนจากแหล่งระยะยาวไปลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนและแหล่งระยะสั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวบ้างแต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อย แต่อุตสาหกรรมที่มีนโยบายทางการเงินที่ค่อนข้างไม่เหมาะสมที่สุดคือ อุตสาหกรรมอุปกรณ์แก้วในห้องทดลอง สำหรับปัญหาของอุตสาหกรรมนี้ทางด้านการผลิต ปัญหาใหญ่ก็คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากน้ำมันขึ้นราคาทั่วโลก ทำให้ผลตอบแทนของอุตสาหกรรมโดยส่วนรวมลดลง นอกจากนี้ยังขาดแคลนช่างฝีมือและประสบการณ์การแข่งขันจากต่างประเทศ ตลอดจนปัญหาการส่งออก วิธีแก้ปัญหาก็คือจะต้องแก้ไขปรับปรุงการบริหารงานในด้านต่างๆภายในกิจการให้ดีเสียก่อน โดยจัดให้มีการวางแผนที่ดีทั้งในด้านการขาย การผลิตและการเงินเพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดและมีสินค้าเพียงพอที่จะจำหน่ายได้โดยไม่เสียลูกค้าและทุนไม่จมในสินค้ามากเกินไป ในขณะเดียวกันผู้ผลิตจะต้องคำนึงถึงคุณภาพของสินค้าเป็นสำคัญด้วย ซึ่งจะช่วยให้สินค้าของไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าที่มาจากต่างประเทศได้ เกี่ยวกับการขาดแคลนช่างฝีมือ รัฐบาลน่าจะมีส่วนในการช่วยฝึกฝนอบรมและส่งเสริมให้มีช่างเป่าแก้วเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ เพื่อที่จะได้มีการนำทรายแก้วซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาลในประเทศไปใช้ให้เกิดประโยชน์เพิ่มขึ้นและหากรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนการส่งออกของผลิตภัณฑ์แก้วให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมแก้วได้อีกทางหนึ่ง

Share

COinS