Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การลงทุนในอุตสาหกรรมห้องเย็นในประเทศไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Investment in cold storage industry in Thailand
Year (A.D.)
1981
Document Type
Thesis
First Advisor
ศิวาวุธ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บัญชีมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
DOI
10.58837/CHULA.THE.1981.306
Abstract
จากการที่อุตสาหกรรมประมงของไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว และความจำเป็นที่จะต้องเก็บรักษาอาหารสดโดยเฉพาะสินค้าสัตว์น้ำทะเลไว้ให้ประชาชนในประเทศได้บริโภคอย่างทั่วถึงสม่ำเสมอตลอดปี ทำให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมห้องเย็นขึ้น ซึ่งเริ่มแรกเป็นการลงทุนของรัฐบาล โดยการจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมห้องเย็น เมื่อปี 2501 ดำเนินการรับซื้อสินค้าสัตว์น้ำจากชาวประมงมาเก็บไว้ในห้องเย็นในช่วงที่สินค้าสัตว์น้ำล้นตลาด และนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนในระยะที่สินค้าดังกล่าวขาดแคลน แต่เนื่องจากห้องเย็นขององค์การอุตสาหกรรมห้องเย็นมีเพียง 4 แห่งเท่านั้น คือ ห้องเย็นยานนาวา ห้องเย็นชุมพร ห้องเย็นเชียงใหม่ และห้องเย็นนครราชสีมา จึงไม่เพียงพอกับความต้องการใช้บริการของชาวประมงและพ่อค้า นักธุรกิจเอกชนจึงหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมห้องเย็นแข่งขันกับรัฐบาลทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งปรากฏว่ามีหลายรายประสบความสำเร็จอย่างสูง อุตสาหกรรมห้องเย็นจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะในการส่งออกอาหารสดแช่เย็นแช่แข็งไปจำหน่ายต่างประเทศสามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท นับได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นวิทยานิพนธ์นี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมห้องเย็นในประเทศไทยยังสามารถกระทำได้อีกหรือไม่ โดยศึกษาถึงลักษณะและการดำเนินงาน ภาวะการค้า สินค้าแช่เย็นแช่แข็ง ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงาน การลงทุน อัตราผลตอบแทนและปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมห้องเย็นในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้สนใจจะลงทุนในอุตสาหกรรมประเภทนี้ทราบถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็น จะได้นำไปประกอบการตัดสินใจให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากรายงาน ตำรา วารสาร และเอกสารวิชาการต่าง ๆ กับทั้งสัมภาษณ์ผู้มีความรู้และเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมห้องเย็นประกอบด้วย สำหรับการวิเคราะห์ทางการเงินได้เลือกเฉพาะกิจการห้องเย็นที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยรวบรวมงบการเงินจากกระทรวงพาณิชย์จนถึงสิ้นปี 2521 เท่านั้น ผลการศึกษาทำให้ทราบว่ากิจการห้องเย็นแบ่งได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะการดำเนินงานคือ กิจการห้องเย็นเพื่อการส่งออก กิจการห้องเย็นเพื่อจำหน่ายในประเทศ กิจการห้องเย็นเพื่อให้บริการรับฝากแช่ และกิจการรถห้องเย็น ซึ่งมีปัจจัยสำคัญอยู่ 2 ประการที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของกิจการห้องเย็นทุกประเภทคือ วัตถุดิบ และตลาดสินค้าแช่เย็นแช่แข็ง ถ้าเกิดปัญหาต่อปัจจัยดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมห้องเย็นภายในประเทศทันที ปัจจุบันด้านวัตถุดิบโดยเฉพาะสินค้าสัตว์น้ำเริ่มมีปัญหามากขึ้นเพราะมีแนวโน้มว่าปริมาณการผลิตจะลดลง เนื่องจากการประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน และการขึ้นราคาน้ำมันอย่างไม่หยุดยั้งของกลุ่มประเทศโอเปค ส่วนตลาดสินค้าแช่เย็นแช่แข็งแม้จะมีปัญหาบ้างแต่ก็นับได้ว่ายังแจ่มใส เนื่องจากอุปสงค์ในสินค้าสัตว์น้ำส่งออกของไทยมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น สำหรับการวิเคราะห์การลงทุนของกิจการห้องเย็นประเภทต่าง ๆ (ยกเว้นห้องเย็นเพื่อจำหน่ายในประเทศ เพราะไม่สามารถหาข้อมูลได้) พบว่า กิจการห้องเย็นเพื่อการส่งออก จะลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนโดยเฉลี่ย 44% และสินทรัพย์ประจำ 56% ส่วนกิจการห้องเย็นเพื่อให้บริการรับฝากแช่และกิจการรถห้องเย็นจะลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนเฉลี่ย 18% และสินทรัพย์ประจำ 82% ในด้านผลตอบแทนนั้น กิจการห้องเย็นเพื่อการส่งออกมีอัตราผลตอบแทนต่อค่าขายโดยเฉลี่ย 1.16% อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย 1.58% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของเฉลี่ย 6.91% สำหรับกิจการห้องเย็นเพื่อให้บริการรับฝากแช่ มีอัตราส่วนทั้งสามเรียงตามลำดับดังนี้ 11.38%, 7.64% และ 9.54% ส่วนกิจการรถห้องเย็น เนื่องจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานค่อนข้างสูง ทำให้ประสบการขาดทุนมาโดยตลอด ผลตอบแทนจึงยังไม่มี เกี่ยวกับอัตราการผลิต ณ. จุดคุ้มทุนนั้น ปรากฏว่าแตกต่างกันไปตามประเภทและขนาดของกิจการ กล่าวคือ กิจการห้องเย็นเพื่อการส่งออกขนาด 180 ตัน, 680 ตัน, 2,000 ตัน, 3,000 น มีอัตราการผลิต ณ. จุดคุ้มทุนเรียงตามลำดับ (ขนาด) ดังนี้ 17.18%, 56.91%, 33.38% 40.27% และ 58.55% กิจการห้องเย็นเพื่อให้บริการรับฝากแช่ขนาด 480 ตัน, 3,150 ตัน, 4,532 ตัน และ 5,580 ตัน มีอัตราการผลิต ณ. จุดคุ้มทุน 22.12%, 3.94%, 9.88% และ 14.62% ตามลำดับ สำหรับการลงทุนในอนาคต จากการพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ประกอบคาดว่าผู้ที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมห้องเย็นยังสามารถลงทุนได้อีก โดยขนาดของเงินทุนที่ใช้จะต้องไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) เพื่อประโยชน์ในการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและควรมีขนาดความจะประมาณ 3,000 ตัน สำหรับกิจการห้องเย็นเพื่อการส่งออกเพราะได้รับผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของประมาณ 23.61% (สูงกว่าห้องเย็นขนาดอื่น) ถ้าเป็นกิจการเพื่อให้บริการรับฝากแช่ขนาดความจุที่เหมาะสมประมาณ 4,000 – 5,000 ตัน ซึ่งจะได้ผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของประมาณ 16.77% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงินลงทุนอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ และอัตราผลตอบแทนจากค่าขายที่กิจการสามารถจะทำได้
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
กอนอิ่ม, อำพรรณ์, "การลงทุนในอุตสาหกรรมห้องเย็นในประเทศไทย" (1981). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 58176.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/58176