Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การประเมินค่าโครงการลงทุนในการเพาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในประเทศไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Project evaluation of the giant freshwater prawn hatchery and farming in Thailand
Year (A.D.)
1982
Document Type
Thesis
First Advisor
สมศักดิ์ สิงหลกะ
Second Advisor
สุมาลี จิวะมิตร
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บัญชีมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
การธนาคารและการเงิน
DOI
10.58837/CHULA.THE.1982.341
Abstract
วิทยานิพนธ์นี้เป็นการศึกษาถึงการประเมินค่าโครงการการลงทุนในการเพาะและเลี้ยงกุ้งก้ามกราม โดยศึกษาในลักษณะการดำเนินงาน กรรมวิธีในการผลิต ปัจจัยการผลิต แนวทางด้านการตลาด ตลอดจนศึกษาถึงอุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน นอกจากนี้ยังศึกษาถึงด้านการเงินเพื่อให้ทราบผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ โดยการศึกษากรณีตัวอย่างการลงทุนของเอกชนในการเพาะและเลี้ยงกุ้งก้ามกราม สำหรับการศึกษาขนาดการลงทุนของการเพาะลูกกุ้งก้ามกรามนั้น จะแบ่งการศึกษาเป็น 3 ขนาดคือ ขนาดผลผลิต 30,000 ตัวต่อเดือน ขนาดผลผลิต 200,000 ตัวต่อเดือน และขนาดการผลิต 600,000 ตัวขึ้นไปต่อเดือน ซึ่งจัดเป็นขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ตามลำดับ ส่วนในการศึกษาขนาดการลงทุนของการเพาะกุ้งก้ามกราม ก็จะแบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ขนาดเช่นกันคือ ขนาดพื้นที่การผลิต 5 ไร่ 15 ไร่ และ 50 ไร่ ซึ่งความแตกต่างของค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับขนาดของการลงทุน ในการศึกษาได้กำหนดระยะเวลาในการศึกษาไว้ 5 ปี (พ.ศ. 2523-2527) กำหนดให้มีการขายผลผลิตได้หมดทุกรอบการดำเนิน และให้มีการผลิตต่อเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานในแต่ละรอบ ซึ่งในการผลิตลูกกุ้งจะใช้เวลาประมาณ 40-45 วัน และในการเลี้ยงกุ้งจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน ในการศึกษาดังกล่าวได้ทำการศึกษา ค้นคว้าจากตำรา บทความ และเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะและเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ตลอดจนทำการสอบถาม สัมภาษณ์ และประมวลความคิดเห็นจากบุคคลต่างๆ ในวงการที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลแล้วนำมาวิเคราะห์ สำหรับการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน จะวิเคราะห์โดยอาศัยหลักของมูลค่าปัจจุบันสุทธิ อัตราผลได้ต่อต้นทุน อัตราผลตอบแทนภายใน และงวดระยะเวลาคืนทุน โดยใช้อัตราส่วนลดหลายอัตราด้วยกัน และกำหนดราคาขายลูกกุ้งก้ามกรามไว้ 7 ระดับราคาด้วยกันคือ 0.25, 0.30, 0.35, 0.40, 0.50, 0.75 และ 1.00 บาทต่อตัว ในด้านราคาขายกุ้งก้ามกรามก็ได้กำหนดไว้ 6 ระดับคือ 100, 110, 120, 130, 140 และ 150 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายจะถูกกำหนดโดยความต้องการของตลาด และการต่อรองระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย จากการวิเคราะห์พบว่า การผลิตลูกกุ้งและกุ้งก้ามกรามไม่มีความยุ่งยากด้านเทคนิคมากนัก จะอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของผู้ประกอบการทางด้านตลาดก็มีแนวโน้มที่ดี ความต้องการของตลาดมีสูงกว่ากำลังการผลิต จากการวิเคราะห์ทางการเงินปรากฏผลดังนี้ โครงการเพาะลูกกุ้งก้ามกรามในขนาดการผลิต 3 ขนาดคือ ขนาดการผลิต 30,000 ตัวต่อเดือน อัตราผลตอบแทนภายในที่ได้รับจะเท่ากับ 25.20, 61.78, 125.23, 273.89 และ 420.74% ในกรณีขายได้ตัวละ 0.35, 0.40, 0.50, 0.75 และ 1.00 บาทตามลำดับ ขนาดการผลิต 200,000 ตัวต่อเดือน อัตราผลตอบแทนภายในที่ได้รับจะเท่ากับ 59.47, 99.31, 172.55, 349.03 และ 524.18% ในกรณีขายได้ตัวละ 0.35, 0.40, 0.50, 0.75, และ 1.00 บาทตามลำดับ ขนาดการผลิต 600,000 ตัวขึ้นไปต่อเดือน อัตราผลตอบแทนภายในที่ได้รับจะเท่ากับ 135.10, 198.27, 277.48, 347.93, 488.62, 840.20 และ 1,191.81% ในกรณีขายได้ตัวละ 0.25, 0.30, 0.35, 0.40, 0.50, 0.75 และ 1.00 บาท ตามลำดับ จากการสัมภาษณ์ผู้ลงทุนพบว่าราคาขายลูกกุ้งปัจจุบันจะราคาตัวละ 0.50 บาท ซึ่งผู้ลงทุนจะได้อัตราผลตอบแทนภายในของการผลิตขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่จำนวน 124.23, 132.55 และ 277.48% ตามลำดับ และแนวโน้มของราคาในอนาคตคาดว่าจะสูงขึ้น ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จะเห็นได้ว่าขนาดการผลิตยิ่งใหญ่ขึ้นผลตอบแทนที่โครงการได้รับจะยิ่งสูงขึ้น สำหรับโครงการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในขนาดการผลิต 3 ขนาด เช่นกันคือ ขนาดพื้นที่การผลิต 5 ไร่ อัตราผลตอบแทนภายในที่ได้รับจะเท่ากับ 21.70, 35.52, 48.29, 60.39, 72.05 และ 83.40% ในกรณีราคาขายกิโลกรัมละ 100, 110, 120, 130, 140 และ 150 บาทตามลำดับ ขนาดพื้นที่การผลิต 15 ไร่ อัตราผลตอบแทนภายในที่ได้รับจะเท่ากับ 28.90, 43.23, 56.62, 69.42, 81.83 และ 53.78% ในกรณีราคาขายกิโลกรัมละ 100, 110, 120, 130, 140 และ 150 บาทตามลำดับ ขนาดพื้นที่การผลิต 50 ไร่ อัตราผลตอบแทนภายในที่ได้รับจะเท่ากับ 29.46, 43.49, 56.63, 69.21, 81.41 และ 93.33% ในกรณีราคาขายกิโลกรัมละ 100, 110, 120, 130, 140 และ 150 ตามลำดับ จากการสัมภาษณ์ผู้ลงทุนพบว่า ราคาขายกุ้งในปัจจุบันจะราคาประมาณ 130 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนภายในของการผลิตขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ จำนวน 60.39, 69.42 และ 69.21% ตามลำดับ และแนวโน้มของราคาในอนาคตคาดว่าจะสูงขึ้น ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นเดียวกับโครงการเพาะลูกกุ้ง จากผลการวิเคราะห์ที่ได้นี้พอจะพิจารณาได้ว่า ตราบใดที่อัตราส่วนลดในแต่ละกรณี ในแต่ละโครงการยังไม่เกินอัตราผลตอบแทนภายในสำหรับในส่วนนั้นแล้ว แสดงว่าโครงการยังมีผลกำไร ซึ่งควรจะลงทุนเมื่อพิจารณาในแง่การเงิน แม้ว่าอัตราผลตอบแทนภายในของทั้งสองโครงการจะเป็นอัตราก่อนหักภาษี และการวิเคราะห์โครงการมีข้อสมมุติฐานว่า เงินลงทุนทั้งหมดมาจากเจ้าของ แต่อัตราผลตอบแทนที่ได้รับก็อยู่ในอัตราที่สูงมาก แม้จะมีการนำค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยที่สูงถึง 20% ต่อปี และภาษีเข้ามาประเมิน คาดว่าอัตราผลตอบแทนของโครงการก็ยังคงคุ้มค่าต่อการลงทุน เปรียบเทียบโครงการทั้งสองจะเห็นว่า การเพาะจะใช้ระยะเวลาการดำเนินงานแต่ละรอบน้อยกว่าการเลี้ยงมาก (40-45 วันเทียบกับ 6-8 เดือน) ประกอบกับปัจจัยสำคัญของการเพาะก็คือน้ำเค็ม ซึ่งผู้ลงทุนบางรายอาจจะมีสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะ สำหรับความเห็นของผู้วิจัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตนั้น ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะประสบความยุ่งยากในการเลี้ยงน้อยกว่าการเพาะ และผลผลิตที่ได้ยังมีลักษณะภายนอกที่เห็นได้ชัดเจนกว่า สามารถบริโภคได้ทันที โครงการเลี้ยงจึงค่อนข้างที่จะน่าสนใจมากกว่า ในด้านอุปสรรคและปัญหาของโครงการ พอจะสรุปได้ดังนี้ 1. ในส่วนของโครงการเพาะลูกกุ้ง ปัญหาคือ การที่ลูกกุ้งตายก่อนคว่ำ ซึ่งสามารถป้องกันโดยการเปลี่ยนน้ำให้สะอาด และควบคุมด้านอาหาร 2. ส่วนโครงการเลี้ยงกุ้ง ปัญหาคือ สภาวะแหล่งน้ำเป็นพิษ ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลที่จะช่วยกันป้องกันและแก้ไข สำหรับข้อเสนอแนะอื่นๆ เช่น ทางด้านเงินทุน ถ้ามีทุนน้อยควรจะดำเนินงานขนาดเล็กไปก่อน เพื่อเป็นการเรียนรู้ และค่อยๆ ขยายการผลิตออกไป สำหรับกรณีที่ต้องใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืม ควรจะหาจากแหล่งที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ในแง่ของการดำเนินงาน เป้าหมายที่สำคัญคือ ควรให้มีผลผลิตแบบสม่ำเสมอ นอกจากนี้สิ่งที่รัฐบาลควรจะให้ความช่วยเหลือนอกเหนือไปจากความช่วยเหลือด้านวิชาการ ก็คือการจัดหาแหล่งเงินทุนให้พอเพียง และอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสมเพื่อจูงใจผู้ลงทุนนอกเหนือไปจากแรงจูงใจด้านอัตราผลตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งผลผลิตในอนาคตอาจมีมากเพียงพอที่จะสามารถทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศได้ทั้งหมด เป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
กุลสิทธิไชยา, วิไลวรรณ, "การประเมินค่าโครงการลงทุนในการเพาเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในประเทศไทย" (1982). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 54442.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/54442