Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
พฤติกรรมและความต้องการในการสัมผัสของผู้ป่วยหลังคลอด
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Behaviors and needs in postnatal patients concerning the attachment of their newborn infants
Year (A.D.)
1981
Document Type
Thesis
First Advisor
พวงรัตน์ บุญญานุรักษ์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
พยาบาลศึกษา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1981.156
Abstract
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายที่จะศึกษาถึงพฤติกรรมและความต้องการในการสัมผัสบุตรและเปรียบเทียบพฤติกรรมในการสัมผัสบุตรของผู้ป่วยหลังคลอด กลุ่มตัวอย่างประชากรเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลราชวิธี โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีวัตถุประสงค์ ได้กลุ่มตัวอย่าง 120 คน ผู้วิจัยได้ดัดแปลงแบบสังเกตพฤติกรมมาจากแบบสังเกตพฤติกรรมของ แคทเธอรีน โครเพลย์ และได้สร้างแบบสัมภาษณ์เพื่อสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างประชากรด้วยตนเอง ได้ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาพร้อมกับหึวามเที่ยงทั้งแบบสังเกตและแบบสัมภาษณ์ได้เท่ากับ 0.99 แบบสังเกตพฤติกรมประกอบด้วยข้อความทั้งหมด 32 ข้อ เป็น 2 หมวด คือ หมวดพฤติกรรมการสัมผัสที่แสดงออกด้วยคำพูด และหมวดพฤติกรรมการสัมผัสที่แสดงออกด้วยกริยาท่าทาง ส่วนแบบสัมภาษณ์ประกอบด้วยข้อความทั้งหมด 25 ข้อ เป็น 2 หมวด คือ หมวดความต้องการมีพฤติกรรมการสัมผัสที่แสดงออกด้วยคำพูด และหมวดความต้องการมีพฤติกรรมสัมผัสที่แสดงออกด้วยกริยาท่าทาง ได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้อัตราร้อยละ มัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วเปรียบเทียบความแตกต่างของมัชฌิมเลขคณิต โดยการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัย 1. พฤติกรรมในการสัมผัสบุตรของผู้ป่วยหลังคลอดทั้งหมดพบว่า ผู้ป่วยหลังคลอดมีพฤติกรรมในการสัมผัสด้วยการใช้สายตาสำรวจดูบุตรเกิดขึ้นก่อน การถามคำถามเกี่ยวกับการดูแลบุตรเกิดขึ้นภายหลัง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยคือการใช้นิ้วมือเขี่ยฝ่ามือและพฤติกรรมที่เกิดระยะเวลานานคือการใช้ฝ่ามือลูบศรีษะบุตร 2. พฤติกรรมการสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูด และกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดที่มีบุตรคนแรก และมีบุตรตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จึงคงไว้ซึ่งสมมติฐานข้อที่ว่า พฤติกรรมการสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูดและกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดที่มีบุตรตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ย่อมมากกว่าผู้ป่วยหลังคลอดที่มีบุตรคนแรก 3. พฤติกกรมการสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูดและกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดที่มีอายุระหว่าง 13-19 ปี และ 20-35 ปี แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จึงคงไว้ซึ่งสมมติฐานข้อที่ว่า พฤติกรรมการสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูดและกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี ย่อมมากกวาผู้ป่วยหลังคลอดที่มีอายุระหว่าง 13-19 ปี 4. พฤติกรรมการสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูดและกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดที่มีรายได้ครอบครัวระหว่าง 2,000-3,000 บาท และ3,001-4,000 บาท แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จึงคงไว้ซึ่งสมมติฐานข้อที่ว่า พฤติกรรมการสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูดและกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดที่มีรายได้ครอบครัว 3,001-4,000 บาท ย่อมมากกว่าผู้ป่วยหลังคลอดที่มีรายได้ครอบครัวระหว่าง 2,000-3,000 บาท 5. เมื่อจัดลำดับความต้องการมีพฤติกรรมสัมผัสบุตรทั้งที่แสดงออกด้วยคำพูดและกริยาท่าทางของผู้ป่วยหลังคลอดทั้งหมด ปรากฏว่าลำดับแรกคือความต้องการมีพฤติกรรมการสัมผัสที่แสดงออกด้วยคำพูด ซึ่งได้แก่ การขอดูบุตรทันที่เมื่อสิ้นสุดการคลอด ต้องการทราบว่าบุตรมีร่างกายครบปกติหรือไม่และน้ำหนักเท่าไร ส่วนลำดับสุดท้ายเป็นความต้องการมีพฤติกรรรมการสัมผัสที่แสดงออกด้วยกริยาท่าทางในด้านการกอดรัดบุตร
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
อภิปาลกุล, สอิ้ง, "พฤติกรรมและความต้องการในการสัมผัสของผู้ป่วยหลังคลอด" (1981). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 54094.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/54094