Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

เภสัชจลนศาสตร์ของยาเพ็นนิซิลลินจีในผู้ป่วยที่มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Pharmacokinetics of penicillin G in patients with pleural effusion

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

ดวงจิต พนมวัน ณ อยุธยา

Second Advisor

อรพิน ยิ่งยง

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

เภสัชกรรม

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.4

Abstract

การศึกษาเภสัชจลนศาสตร์ของยาเพ็นนิซิลลินจี โดยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำได้กระทำในผู้ป่วยที่มีน้ำขังในช่องเยื่อหุ้มปอดด้วยสาเหตุต่างๆ จำนวน 23 ราย โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ( จำนวนผู้ป่วย = 11 ราย) ได้รับยาเพ็นนิซิลลินจีขนาด 1 ล้านยูนิต ส่วนกลุ่มที่ 2 ( จำนวนผู้ป่วย = 12 ราย) ได้รับยาขนาด 2 ล้านยูนิต ภายหลังการให้ยาได้เก็บตัวอย่างจากเซรุ่มและน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดพร้อมกันที่ช่วงเวลาต่างๆ ตลอดระยะ 12 ชั่วโมง การตรวจวิเคราะห์ระดับยาเพ็นนิซิลลินจีในตัวอย่างใช้วิธีทางการจุลชีววิทยาที่เหมาะสม โดยใช้เชื้อ Sarcina lutea ATCC 9341 เป็นเชื่อมาตรฐานที่ใช้ทดสอบ การศึกษานี้เป็นการเปรียบเทียบระดับของยาและค่าพารามิเตอร์ทางเภสัชจลนศาสตร์ระหว่างขนาดยาที่ให้และระหว่างยาในเซรุ่มกับในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอด ระดับยาเฉลี่ยในเซรุ่มที่เวลาต่างๆ ภายหลังการให้ยา 2 ล้านยูนิตสูงกว่าขนาด 1 ล้านยูนิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ภายหลังการให้ยาขนาด 1 ล้านยูนิต สามารถตรวจพบระดับยาเพ็นนิซิลลินจีในเซรุ่มมีระดับที่สูงกว่าค่า MIC ของยาต่อเชื้อทั่วๆ ไปรวมทั้งเชื้อ Streptococcus pneumonia ได้นานถึงชั่วโมงที่ 4 หลังให้ยา ส่วนการให้ยาขนาด 2 ล้านยูนิต ระดับยาที่สูงกว่าค่า MIC นี้จะพบได้นานถึงชั่วโมงที่ 12 หลังให้ยา การเปลี่ยนแปลงของระดับยาเพ็นนิซิลลินจีในเซรุ่มภายหลังการให้ยาทั้งสองขนาดนั้นเหมาะที่จะสร้างเป็น 2-compartment open kinetic model 95% เมื่อเปลี่ยนขนาดยาคือค่า ∝, β, k12,k21, kel, t1/2, vd, และ CL ค่าพารามิเตอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นสัดส่วนเดียวกันกับขนาดยาที่เปลี่ยนคือค่า A, B และ AUCs(o->∝) จากการศึกษาพบว่ายาเพ็นนิซิลลินจีซึมแทรกเข้าสู่น้ำของช่องเยื่อหุ้มปอดได้ดี และระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดภายหลังการให้ยาทั้งขนาด 1 ล้านและ 2 ล้านยูนิตสูงกว่าค่า MIC ของยานี้ต่อเชื้อทั่วๆ ไปรวมทั้งเชื้อ Diplococcus pneumoniae จนถึงชั่วโมงที่ 12 หลังให้ยา ระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดในกลุ่มที่ได้ยาขนาด 2 ล้านยูนิตสูงกว่ากลุ่มที่ได้ยา 1 ล้านยูนิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติตลอดช่วง 10 ชั่วโมงหลังให้ยา ปรากฎว่าเมื่อเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดสูงขึ้นเป็น 3-4 เท่า พบว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดเหมาะที่จะสร้างเป็น 1-compartment open model พารามิเตอร์ที่พบว่ามีค่าเปลี่ยนเป็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เมื่อเปลี่ยนแปลงขนาดยาคือค่า A, B, Cp และ AUCp ส่วนค่าพารามิเตอร์ที่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่นเดียวกับข้างต้นเมื่อเปลี่ยนขนาดของยาคือค่า ka | kel | tp และ t1/2 สำหรับการศึกษาปริมาณการซึมแทรกของยาปฏิชีวนะเข้าสู่น้ำช่องเยื่อหุ้มปอดในที่นี้บ่งเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ของอัตราส่วนระหว่างค่าพื้นที่ภายใต้เส้นโค้งระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอด-เวลาต่อค่าพื้นที่ภายใต้เส้นโค้งระดับยาในเซรุ่มซึ่งมีค่าเฉลี่ยเป็น 72.97% และ 66.22% ในผู้ป่วยกลุ่มที่ได้ยาขนาด 1 ล้านและ 2 ล้นยูนิตตามลำดับ จากการศึกษานี้พบว่าระดับยาในเซรุ่มและในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดหลังจากเวลาที่ระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดเลยจุดสูงสุดไปแล้วมีความสัมพันธ์กันเป็นเส้นตรงพอสมควร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ของสหสัมพันธ์ ( r ) = 0.7711 จากการศึกษานี้จะเห็นได้ว่ายาเพ็นนิซิลลินจีคงระดับอยู่ในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดได้นานกว่าในเซรุ่ม อีกทั้งค่ากึ่งชีพของยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดก็ยาวกว่าในเซรุ่มหลายเท่า ดังนั้นการให้ยาเพ็นนิซิลลินจีในโรคติดเชื้อของเยื่อหุ้มปอด หากจะยืดระยะเวลาในการให้ยาออกไปเป็นทุกชั่วโมง ก็น่าจะใหผลในการรักษาได้เท่าเทียมกับการให้ยาทุก 4-6 ชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน นอกจากนี้ถ้าต้องการระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดสูงกว่าเดิม 2 เท่า ก็อาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดยาถึง 2 เท่า เพราะจะได้ระดับยาในน้ำช่องเยื่อหุ้มปอดสูงขึ้นถึง 3-4 เท่าจากการเพิ่มขนาดยาขึ้น 2 เท่านี้

Share

COinS