Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเปรียบเทียบการจัดการบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่กับขนาดกลาง ในกรุงเทพมหานคร

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A comparative study on management between large and medium sized architecture firms in Bangkok Metropolis

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

มานพ พงศทัต

Second Advisor

ศิริโสภาคย์ บูรพาเดชะ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

พาณิชยศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.452

Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการจัดการและดำเนินงานของบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่กับบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง ในกรุงเทพมหานคร การกำหนดขนาดของบริษัทสถาปนิกถือจำนวนพนักงานเป็นเกณฑ์ โดยกำหนดให้บริษัทสถาปนิกที่มีพนักงานมากกว่า 40 คน เป็นบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่ และบริษัทสถาปนิกที่มีพนักงาน 15-40 คน เป็นบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง การวิจัยนี้อาศัยข้อมูลปฐมภูมิจากการสัมภาษณ์กรรมการผู้จัดการของบริษัทสถาปนิก และผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจด้านนี้ และศึกษาข้อมูลทุติยภูมิโดยค้นคว้าจากเอกสาร บทความ รวมทั้งหนังสือและตำราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ การศึกษาเปรียบเทียบการจัดการบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่และขนาดกลาง ปรากฏว่ามีความแตกต่างกันในด้านการวางแผน เนื่องจากบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่ดำเนินการออกแบบโครงการขนาดใหญ่มีระยะเวลาในการดำเนินงานนาน ทำให้สามารถกำหนดแผนงานในระยะยาวได้ ส่วนบริษัทขนาดกลางดำเนินการออกแบบโครงการขนาดเล็กมีระยะเวลาในการดำเนินงานสั้น การกำหนดแผนระยะยาวกระทำได้ยาก สำหรับการจัดองค์การและการปฏิบัติขั้นดำเนินงานของบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่และขนาดกลางจะไม่แตกต่างกัน ด้านการควบคุมของบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่และขนาดกลางจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันในด้านการควบคุมคุณภาพของการออกแบบ แต่การควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงานนั้น บริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่มีแนวโน้มที่จะใช้กฎระเบียบอย่างเคร่งครัดกว่าบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง เนื่องจากผู้บริหารบริษัทสถาปนิกขนาดกลางเห็นว่าการปฏิบัติงานของสถาปนิกจำเป็นต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านอารมณ์และจิตใจ จึงไม่เคร่งครัดต่อกฎระเบียบมากนัก ในขณะที่ผู้บริหารของบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่ต้องการให้สถาปนิกปฏิบัติงานกันอย่างพร้อมเพียง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควบคุมโดยใช้กฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ผลการศึกษาพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานและไม่เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ ดังนี้ 1. ขนาดและจำนวนโครงการที่ได้รับมีผลต่อลักษณะการจัดการ ผลการศึกษาพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่มีระยะเวลาในการดำเนินงานนาน ทำให้สามารถกำหนดแผนงานของบริษัทในระยะยาวได้ ในขณะที่การดำเนินงานในโครงการขนาดเล็กซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินงานสั้น แผนการดำเนินงานของบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า การกำหนดแผนงานของบริษัทกระทำได้ยากขึ้น การดำเนินงานในโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก และต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ด้าน ทำให้โครงสร้างขององค์การเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้เหมาะสมกับการดำเนินงานในโครงการนั้น และหากเป็นโครงการขนาดใหญ่มาก เช่น การออกแบบสนามบิน การดำเนินงานจะอยู่ในลักษณะของการร่วมกันดำเนินงานโดย บริษัทสถาปนิกหลายๆ บริษัท นอกจากนี้การดำเนินงานโครงการขนาดใหญ่มีความซับซ้อนมากกว่าโครงการขนาดเล็ก จึงก่อให้เกิดความแตกต่างกันในลักษณะของการจัดการ 2. การตัดสินใจของบริษัทขนาดใหญ่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารระดับสูง ส่วนบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับบุคคลเพียงคนเดียว ผลการศึกษาพบว่าไม่เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ การตัดสินใจในด้านต่างๆ ไม่ขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะความเป็นเจ้าของกิจการ บริษัทสถาปนิกที่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นบุคคลเพียงคนเดียว อำนาจการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับบุคคลดังกล่าว ส่วนบริษัทสถาปนิกที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลถือหุ้นเท่าๆกัน การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับบุคคลกลุ่มนี้ 3.บริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่นำระบบการบริหารงานมาใช้ในการจัดการมากกว่าบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง ผลการศึกษาพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ บริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่มีการบริหารงานที่เป็นระบบมากกว่าบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง โดยเฉพาะการบริหารการเงินและระบบบัญชี และการควบคุมการปฏิบัติงานของบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่ จะใช้กฎระเบียบของบริษัทอย่างเคร่งครัดกว่าในบริษัทสถาปนิกขนาดกลาง 4. ชื่อเสียงของหัวหน้าสถาปนิกมีผลต่อความสำเร็จของบริษัท ทั้งในบริษัทสถาปนิกขนาดใหญ่และขนาดกลาง ผลการศึกษาพบว่าเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ หัวหน้าสถาปนิกเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการบริหาร การตลาด และการออกแบบ จึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของบริษัทสถาปนิก โดยเฉพาะทางด้านการตลาด จากการศึกษาสามารถสรุปข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาได้ดังต่อไปนี้ 1. ผู้บริหารของบริษัทสถาปนิกควรจะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และแนวโน้มของการลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ มากขึ้น เพื่อให้การวางแผนของบริษัทมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น นอกจากนั้นยังช่วยให้การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและการวางแผนการตลาดของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. ผู้บริหารของบริษัทสถาปนิกควรจะลดภาระหน้าที่ด้านการบริหารงานในบริษัทของตนเอง เพราะผู้บริหารของบริษัทสถาปนิกมีภาระรับผิดชอบหลายด้าน ทั้งการบริหารงาน การตลาด และการออกแบบ จึงควรสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถมาช่วยบริหารงานในบริษัทจะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3. บริษัทสถาปนิกทุกบริษัทควรตระหนักถึงความรับผิดชอบในการรักษามาตรฐานการออกแบบของตน เนื่องจากการลดอัตราค่าออกแบบเพื่อการแข่งขัน โดยการลดมาตรฐานการออกแบบเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จะทำให้ผู้ใช้บริการขาดความเชื่อถือในบริษัทและก่อให้เกิดผลเสียต่อภาพพจน์โดยส่วนรวมของบริษัทสถาปนิก 4. บริษัทสถาปนิกควรทำสัญญาว่าจ้างออกแบบกับผู้ใช้บริการ เพื่อลดปัญหาของการเรียกชำระเงินค่าบริการ และการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เป็นผู้ดำเนินการเรียกชำระเงินค่าบริการ จะทำให้การเรียกชำระเงินค่าบริการของบริษัทมีประสิทธิภาพมากกว่าที่จะให้สถาปนิกเป็นผู้ดำเนินการ นอกจากข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาดังได้กล่าวมาแล้ว จากการศึกษาพบว่าผู้บริหารของบริษัทสถาปนิกควรจะเปลี่ยนทัศนคติ จากการเป็นนักวิชาชีพมาเป็นนักวิชาชีพกึ่งธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของบริษัท และนักศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ควรให้ความสนใจกับการศึกษาวิชาบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์มากกว่านี้ ซึ่งจะนำมาใช้ในการประกอบวิชาชีพของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ISBN

9745641383

Share

COinS