Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
พัฒนาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในประเทศไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Development of Buddhist universities in Thailand
Year (A.D.)
1984
Document Type
Thesis
First Advisor
ไพฑูรย์ สินลารัตน์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
อุดมศึกษา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1984.293
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ถึงความเป็นมาในการจัดตั้งและพัฒนาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในประเทศไทย ในด้านต่าง ๆ 3 ด้านคือ หลักสูตรและการสอน, การบริหารงาน และบทบาทที่มีต่อสังคมไทย นอกจากนี้ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อคาดคะเนแนวโน้มของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในระยะหลัง พ.ศ. 2526 วิธีรวบรวมข้อมูล ได้ใช้เอกสารจากพระราชบัญญัติวิทยานิพนธ์ หนังสือ วารสาร และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสงฆ์ นำมาวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อเรื่อง รวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยสงฆ์ แล้วจึงรวบรวมขอมูลที่ได้จากเอกสารและการสัมภาษณ์ นำมาวิเคราะห์ เรียบเรียงเป็นวิทยานิพนธ์ ผลของการวิจัย พบว่า 1. การศึกษาพระปริยัติธรรมในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หลักสูตรเดิมของการศึกษาพระปริยัติธรรม แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ บาเรียนตรี บาเรียนโท และบาเรียนเอก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมจาก 3 ระดับ เป็น 9 ระดับ หรือ 9 ประโยค ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2359 เป็นต้นมา ในปัจจุบันนี้มหาเถรสมาคมและกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบสำนักเรียนพระปริยัติธรรมทั้งปวง 2. สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ดำเนินงานในรูปสถาบันการศึกษาของสงฆ์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2436 โดยพระบรมราชโองการในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้นามว่า มหามกุฎราชวิทยาลัย ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ครั้น ถึงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ทรงประกาศตั้งสถานศึกษาชั้นสูงในรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น ใช้นามว่า สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัยได้ประกาศใช้ระเบียบและหลักสูตรของสภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 และได้เปิดสอนตามหลักสูตรนี้แก่ พระภิกษุสามเณร เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2489 เป็นต้นมา ส่วนมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์ ได้สถาปนาโดยพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432 ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ ใช้นามว่ามหาธาตุวิทยาลัย ครั้นถึงวันที่13 กันยายน พ.ศ. 2439 พระราชทานนามใหม่ว่า มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 249 0 พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตตเถร) พร้อมด้วยฉันทานุมัติจากที่ประชุมพระเถระผู้ใหญ่หลายรูปประกาศยกสถานภาพขึ้นดำเนินการในรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์ ใช้นามว่า มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเปิดสอนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา มูลเหตุของการจัดการศึกษาในรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนั้น เกิดจากพระเถระผู้ใหญ่เหล่านั้นมีความเห็นว่า การศึกษาของรัฐบาลได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ทันกับวิทยาการสมัยใหม่อยู่ตลอดมา แต่การศึกษาของคณะสงฆ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เพื่อให้ เหมาะกับสังคมที่กำลัง เปลี่ยนแปลง ในขณะนั้นการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี และแผนกธรรมได้รับการยอมรับจากสังคมไทยน้อยลง และรัฐบาลไม่ได้สนับสนุนมากนัก ดังนั้นจึงสมควรจะได้ปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรได้ศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่กันกับวิชาสามัญทางโลก จะได้มีความรู้ ควานสามารถ รู้เท่าทันกับเหตุการณ์ในสังคมปัจจุบัน และเพื่อสนองพระราชประสงค์เดิมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระราชทานเป็นสถานที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง 3. หลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งเป็นระบบเบ็ดเสร็จ ได้จัดตั้งหลักสูตร การศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษาและระดับอุดมศึกษาไว้ในสถาบันเดียวกัน สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย ได้จัดหลักสูตรการศึกษาเป็น 2 ระดับคือ ระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ได้แก่หลักสูตรบุรพศึกษา หลักสูตรบาลีสามัญศึกษา และหลักสูตรเตรียมศาสนศาสตร์ และระดับอุดมศึกษา ได้แก่ หลักสูตรปริญญาศาสนศาสตร์บัณฑิต ส่วนมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฯ ได้จัดหลักสูตรการศึกษาไว้ 2 ระดับ คือ ระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ได้แก่ หลักสูตรบาลีสาธิตศึกษา หลักสูตรบาลีอบรมศึกษา และหลักสูตรบาลีเตรียมอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษาได้แก่ หลักสูตรประกาศนียบัตรครูศาสนศึกษาและหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตร์บัณฑิต พัฒนาการของหลักสูตรการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งนั้นจะปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัยอยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีความรู้เท่าทันสังคมทางโลก 4. การบริหารงานของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ตั้งแต่เริ่มดำเนินการในรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 เป็นหน่วยงานเอกเทศ การบริหารงานใช้ระบบคณะกรรมการ ครั้นถึงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ได้ขึ้นสังกัดกับมหาเถรสมาคม เป็นต้นมา การบริหารงานภายในใช้ระบบสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการโดยตำแหน่งจะมีเฉพาะฝ่ายบรรพชิตเท่านั้น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะมีทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์โดยกรรมการฝ่ายบรรพชิตจะมีบทบาทมากในการตัดสินใจของการบริหารงานในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ส่วนกรรมการฝ่ายคฤหัสถ์จะเป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น โครงสร้างในการบริหารงานเช่นนี้อาจจะมีแนวโน้มว่าการตัดสินใจใด ๆในการบริหารงานก็ย่อมเน้นไปในทางพระพุทธศาสนาค่อนข้างสูง 5. บทบาทของมหาวิทยาสงฆ์ทั้งสองแห่งที่มีต่อสังคมไทย ได้แก่ การผลิตบัณฑิตส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุสามเณร มีภูมิลำเนาเดิมมาจากต่างจังหวัด ผู้ซึ่งมีโอกาสน้อยในอันที่จะได้รับการศึกษาในระดับสูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ มหาวิทยาลัยสงฆ์จึงเป็นช่องทางเอื้ออำนวยประโยชน์ทางศาสนศึกษาแก่ผู้มีโอกาสน้อยเหล่านี้เป็นอย่างยิ่งในสังคมไทย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งยังมีบทบาทในการให้บริการทางวิชาการพระพุทธศาสนา แก่สังคมไทยนานาประการ เช่น การเผยแผ่ธรรม การจัดทำนิตยสารธรรมจักษุและพุทธจักร และจัดตั้งโรงเรียนพุทธศาสนา วันอาทิตย์ เป็นต้น 6. มหาเถระสมาคมได้รับรองวิทยฐานะ มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งแล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2512 แต่รัฐบาลไทยยังไม่ได้รับรองวิทยฐานะขั้นปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งจนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2526) 7. คาดคะเนแนวโน้มที่สำคัญของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่งในระยะหลัง พ.ศ. 2526 ก็คือ รัฐบาลไทยอาจจะรับรองวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง แสะมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยฯอาจจะเพิ่มสาขาสถานศึกษา หรือวิทยาเขตในต่างจังหวัดมากขึ้น 8. หลังจากที่ได้วิเคราะห์พัฒนาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในประเทศไทยแล้ว จะพบว่า อิทธิพลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้นครอบคลุมอิทธิพลทางด้าน วิทยาการสมัยใหม่ ทำให้พระภิกษุสามเณรต้องศึกษาหาความรู้ เพื่อให้เท่าทันเหตุการณ์ของโลก อิทธิพลทางด้านการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่เป็นแรงจูงใจให้พระเถระผู้ใหญ่หลายรูปในพระพุทธศาสนาที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ เพื่อศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นระบบ อิทธิพลทางด้านระบบอุดมศึกษาของรัฐ ที่เห็นว่าระบบอุดมศึกษาของรัฐได้จัดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่คนนิยมศึกษากันจึงได้ จัดตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ขึ้น เพื่อพระภิกษุสามเณรจะได้ศึกษาในระดับอุดมศึกษาและมีความรู้ทันสมัยขึ้น รวมทั้งกลไกทางการเมือง ในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ในด้านใดด้านหนึ่งด้วยเสมอ 9. การจัดการศึกษาในรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์จะเกิดผลดีหลายอย่าง คือ พระภิกษุสามเณร มีโอกาสในการศึกษาเพิ่มมากขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยสงฆ์เป็นการศึกษาของมวลชนอย่างแท้จริง อันเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยสงฆ์ช่วยปรับปรุงการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระภิกษุสามเณรให้ดีขึ้น เพราะพระภิกษุสามเณรที่ได้รับการศึกษาย่อมจะมีความรู้ในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติรวมทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีบทบาทในการสร้างพระภิกษุสามเณรให้เป็นผู้นำชุมชนและให้บริการด้านต่าง ๆ แก่สังคม
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
เกิดปรางค์, มนัส, "พัฒนาการของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในประเทศไทย" (1984). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53800.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53800