Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจัยที่มีผลต่อความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตร และความคิดที่จะทำหมัน

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Factors affecting desire for birth spacing and sterilization

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

พิชิต พิทักษ์เทพสมบัติ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

สังคมวิทยามหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.557

Abstract

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงลักษณะของหัวหน้าครัวเรือนที่มีความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตรและยุติการมีบุตร โดยจะเลือกเอาการทำหมันเป็นวิธีคุมกำเนิด และศึกษาถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และประชากรที่มีอิทธิพลต่อความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตรและความคิดที่จะทำหมันของหัวหน้าครัวเรือนในเขตเมือง เขตชนบท และรวมทั้งประเทศ ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาได้มาจากโครงการวิจัยชื่อโครงการย้ายถิ่นของประชากรกับการพัฒนา ซึ่งดำเนินการวิจัยโดยสถาบันประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเก็บข้อมูลในระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๒๔ มีหัวหน้าครัวเรือนตกเป็นตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น ๑,๗๐๐ คน อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ๕๐๕ คน เขตเทศบาลขนาดกลาง ๕๙๘ คน เขตชนบทพัฒนา ๓๐๑ คน และเขตชนบทด้อยพัฒนา ๒๙๖ คน ผลจากการศึกษาที่สำคัญมีดังต่อไปนี้ ๑) หัวหน้าครัวเรือนที่มีความคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตร มีมากกว่าหัวหน้าครัวเรือนที่ไม่คิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรถึง ๓ เท่า หัวหน้าครัวเรือนที่อยู่อาศัยอยู่ในเขตที่พัฒนาน้อยที่สุด (ชนบทด้อยพัฒนา) คิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรมากที่สุด และหัวหน้าครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาสูงสุด (กรุงเทพมหานคร) คิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรต่ำสุด ในเรื่องความคิดที่จะทำหมัน พบว่า หัวหน้าครัวเรือนที่คิดจะทำหมันและไม่คิดที่จะทำหมันมีจำนวนเท่า ๆ กัน และหัวหน้าครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง คิดที่จะทำหมันสูงกว่าหัวหน้าครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตชนบท ๒) ปัจจัยที่มีผลต่อความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตร ตัวกำหนดโดยตรง ได้แก่ อายุ จำนวนบุตรที่ต้องการ การใช้การวางแผนครอบครัว และวิธีการวางแผนครอบครัวที่ใช้ และพบว่า อายุมีผลต่อความคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรในทางลบ คือ หัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุน้อยคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรสูงและความคิดนี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ วิธีการวางแผนครอบครัวที่ใช้ พบว่า มีความสอดคล้องกับสมมติฐาน คือ หัวหน้าครัวเรือนที่ใช้วิธีชั่วคราวคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรสูงกว่าหัวหน้าครัวเรือนที่ใช้วิธีถาวร ส่วนจำนวนบุตรที่ต้องการมีความสัมพันธ์กับความคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตร แต่ในทิศทางตรงกันข้ามกับสมมติฐาน ตัวกำหนดโดยอ้อม ได้แก่ การศึกษา อาชีพ สถานภาพการทำงาน ความทันสมัย รายได้ และถิ่นที่อยู่อาศัย และพบว่า การศึกษามีผลในทางลบกับความคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตร คือ หัวหน้าครัวเรือนที่มีการศึกษาสูง คิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรต่ำกว่าหัวหน้าครัวเรือนที่มีการศึกษาต่ำ ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน อาชีพ พบว่า มีผลไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน คือ หัวหน้าครัวเรือนที่มีอาชีพเกษตรกรรม จะมีความคิดที่จะเว้นระยะการมีบุตรสูงกว่าหัวหน้าครัวเรือนที่ประกอบอาชีพอื่นและถิ่นที่อยู่อาศัย พบว่า ไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ผลจากการวิเคราะห์โดยสถิตพหุถดถอย พบว่าโดยภาพรวมทั้งประเทศ ความทันสมัยมีผลต่อความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตรมากที่สุด รองลงมาได้แก่อาชีพ ในเขตเมืองวิธีการวางแผนครอบครัวที่ใช้เพียงตัวแปรเดียวที่มีผลต่อความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนในเขตชนบท พบว่าไม่มีตัวแปรอิสระตัวใดมีนัยสำคัญทางสถิติ และอายุมีผลต่อความคิดเกี่ยวกับการเว้นระยะการมีบุตรมากที่สุด รองลงมาคือสถานภาพการทำงาน ๓) ปัจจัยที่มีผลต่อความคิดที่จะทำหมัน ตัวกำหนดโดยตรง ได้แก่ อายุ จำนวนบุตรที่ต้องการ การใช้การวางแผนครอบครัว พบว่าอายุมีผลต่อความคิดที่จะทำหมันในทางลบ คือ หัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุน้อย คิดที่จะทำหมันในอนาคตสูงกว่าหัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนจำนวนบุตรที่ต้องการไม่ได้มีอิทธิพลต่อความคิดที่จะทำหมันมากนัก และไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ตัวกำหนดโดยอ้อม ได้แก่ การศึกษา อาชีพ สถานภาพการทำงาน ความทันสมัย รายได้ และถิ่นที่อยู่อาศัย และพบว่า การศึกษามีผลต่อความคิดที่จะทำหมันในทิศทางที่ตั้งไว้ คือ หัวหน้าครัวเรือนที่มีการศึกษาสูงคิดที่จะทำหมันสูง ส่วนอาชีพและถิ่นที่อยู่อาศัย มีความสัมพันธ์กับความคิดที่จะทำหมันในทิศทางตรงกันข้ามกับสมมติฐาน ผลจากการวิเคราะห์เมื่อใช้สถิติพหุถดถอย พบว่าทั้ง ๓ เขต คือ เขตเมือง เขตชนบท และรวมทั้งประเทศ อายุมีอิทธิพลต่อความคิดที่จะทำหมันมากที่สุด และเป็นไปในทางลบและมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่นสูง รองลงมาได้แก่การศึกษา (ในเขตเมืองและรวมทั้งประเทศ) และการใช้การวางแผนครอบครัว (ในเขตชนบท)

Share

COinS