Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การใช้วิธีการทางสถิติเพื่อหาปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคแทรกซ้อน ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The use of statistical methods in determining factors related to complication of diabetes mellitus
Year (A.D.)
1984
Document Type
Thesis
First Advisor
ศรีสุดา ลิตปรีชา
Second Advisor
สุภาพ เดชะรินทร์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
สถิติศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
สถิติ
DOI
10.58837/CHULA.THE.1984.546
Abstract
การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคแทรกซ้อนของหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน โดยศึกษาโรคแทรกซ้อน 2 ลักษณะคือ โรคหัวใจโคโรนารีย์และโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพ การศึกษาเพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านประชากรกับปัจจัยทางด้านกายภาพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะใช้การวิเคราะห์สหสัมพันธ์คาโนนิคอลในขณะที่การศึกษาเพื่อหาสมการแบ่งกลุ่มผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีจอรับภาพปกติและสำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจโคโรนารีย์ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพนั้น จะใช้การวิเคราะห์จำแนกประเภท ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแผนกเวชระเบียนผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จำนวน 29 ราย โรงพยาบาลรามาธิบดีจำนวน 71 ราย และจากการสัมภาษณ์จากผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก คลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จำนวน 110 ราย จากการศึกษาโดยวิธีสหสัมพันธ์คาโนนิคอลของผู้ป่วยโรคหัวใจโคโรนารีย์นั้น ปัจจัยทางด้านประชากรมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางด้านกายภาพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอลเท่ากับ 0.80295 โดยในปัจจัยทางด้านประชากรนั้นตัวแปรที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงที่สำคัญ ได้แก่ ประสิทธิภาพการควบคุมระดับน้ำตาลในระดับเลว การรักษาเบาหวานในปัจจุบันด้วยการฉีดอินซูลิน ดัชนีความอ้วน การรักษาเบาหวานในปัจจุบันด้วยการกินยาลดระดับน้ำตาล ผู้มีอาชีพกึ่งใช้แรงงานกึ่งใช้สมอง ในด้านปัจจัยทางด้านกายภาพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการนั้น ตัวแปรที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงและน่าสนใจได้แก่ ระดับน้ำตาลในโลหิต ผล EKG ที่เป็น Nonspecified ระดับ Urea Nitrogen ในโลหิต ความดันโลหิตระยะหัวใจบีบตัว ความดันโลหิตระยะหัวใจคลายตัว ในผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพนั้น ปัจจัยทางด้านประชากรมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางด้านกายภาพ และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอลเท่ากับ 0.92491 โดยตัวแปรที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูง ๆ ในปัจจัยทางด้านประชากรคือ การรักษาเบาหวานในปัจจุบันด้วยการกินยาลดระดับน้ำตาล ผู้ที่มีอาชีพกึ่งใช้แรงงานกึ่งใช้สมอง การรักษาเบาหวานในอดีตด้วยการกินยาลดระดับน้ำตาล การเคยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมาก่อน ผู้ที่มีอาชีพที่ใช้สมอง สถานภาพสมรสแบบคู่ ในขณะที่ปัจจัยทางด้านกายภาพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการคือ ความดันโลหิตระยะหัวใจบีบตัว การไม่มีโปรตีนในปัสสาวะ การมีโปรตีนในปัสสาวะในช่วง (300, 2,000) มก./100 มล. ระดับน้ำตาลในโลหิต ความดันโลหิตระยะหัวใจคลายตัว ส่วนการวิเคราะห์จำแนกประเภทเพื่อหาสมการทำนายกลุ่มผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพและผู้ป่วยที่มีจอรับภาพที่ปกตินั้น ผลปรากฏว่าการเกิดโรคสัมพันธ์กับการมีโปรตีนในปัสสาวะในช่วง (100, 300) | (300, 2,000) มก./100 มล. และระดับครีอาตินินในโลหิต ดังสมการ D = 1.24773 2.62475 (โปรตีนในปัสสาวะที่มีค่า (100, 300) มก./100 มล. – 1.60043 (โปรตีนในปัสสาวะที่มีค่า (300, 2,000) มก./100 มล.) – 0.62396 (ระดับครีอาตินิน) โดยที่ D คือ discrimiant score ผู้ที่มีค่า D น้อยกว่า 0.00 จะได้รับการทำนายว่า เป็นผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพ สมการนี้มีความสามารถในการทำนายได้ถูกต้องเท่ากับ 71.82 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการหาสมการทำนายกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจโคโรนารีย์และผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพนั้น ปรากฏว่าการเกิดโรคสัมพันธ์กับเพศ อาชีพที่ใช้สมอง ประวัติการเป็นเบาหวานในครอบครัว การรักษาเบาหวานในอดีตด้วยการกินยาลดระดับน้ำตาลแล้วมาฉีดอินซูลิน โปรตีนในปัสสาวะที่มีค่าเป็น trace อายุที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน ระดับน้ำตาลในโลหิต ดัชนีความอ้วน ดังสมการ D = - 0.66224 + 0.49297 (เพศ) – 0.59957 (อาชีพที่ใช้สมอง) + 1.09028 (ประวัติการเป็นเบาหวานในครอบครัว) + 1.05924 (การรักษาเบาหวานในอดีตด้วยกินยาลดระดับน้ำตาลแล้วมาฉีดอินซูลิน) – 0.40395 (โปรตีนในปัสสาวะ ที่เป็น trace) – 0.02448 (อายุที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน) + 0.03673 (ระยะการเป็นเบาหวานมานาน) – 0.00247 (ระดับน้ำตาลในโลหิต) + 0.07154 (ดัชนีความอ้วน) โดยที่ D คือ discrimiant score ผู้ที่มีค่า D น้อยกว่า 0.22800 จะได้รับการทำนายว่าป่วยเป็นโรคหัวใจโคโรนารีย์ ถ้ามากกว่า 0.22800 จะได้รับการทำนายว่า เป็นผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงที่จอรับภาพ สมการนี้มีความสามารถในการทำนายได้ถูกต้องเท่ากับ 89.23 เปอร์เซ็นต์ การศึกษาครั้งนี้ ทำให้ทราบถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคแทรกซ้อนของหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน อันจะเป็นแนวทางสำหรับแพทย์ผู้รักษาในการทำนายผลทางด้านกายภาพและผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เมื่อทราบผลจากปัจจัยทางด้านประชากร หรือในทางตรงข้ามก็เช่นกัน นอกจากนี้ การใช้สมการจำแนกประเภทจะช่วยในการทำนายการเกิดโรคและการวางแผนการป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นต่อไป
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
กาญจนรัตนากร, กิตติกา, "การใช้วิธีการทางสถิติเพื่อหาปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคแทรกซ้อน ของผู้ป่วยโรคเบาหวาน" (1984). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53759.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53759