Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเชิงวิเคราะห์ "สัจจะ" ในพุทธปรัชญาฝ่ายเถรวาท

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

An analytical study of the concept of "Truth" in theravada philosophy

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

สุนทร ณ รังษี

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ปรัชญา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.596

Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาวิเคราะห์ เรื่องสัจจะในพุทธปรัชญาฝ่ายเถรวาท เพื่อให้ทราบที่มาและความหมายตลอดจนรายละเอียดของเรื่องสัจจะนี้อันจะนำมาซึ่งความเข้าใจที่จะคลี่คลายปัญหาอันเกิดจากการเข้าใจผิดที่คิดว่าคำสอนของพุทธปรัชญามีความขัดแย้งในตัวเอง จากการวิจัยพบว่าพุทธปรัชญาฝ่ายเถรวาทมีทรรศนะในเรื่องสัจจะหรือความจริงอยู่ 2 ทรรศนะ คือความจริงในระดับปรมัตถ์ ซึ่งเรียกว่าปรมัตถ์สัจจะ และความจริงในระดับสมมติ ซึ่งเรียกว่า สมมติสัจจะ ปรมัตถ์สัจจะเป็นเรื่องของความจริงตามธรรมชาติของสภาวธรรมแท้ๆ ของสิ่งทั้งปวง อันได้แก่รูปธรรมและนามธรรม ซึ่งแยกย่อยเป็น จิต เจตสิก รูป นิพพาน ความจริงระดับนี้มิได้ขึ้นอยู่การรับรู้หรือการกำหนดของมนุษย์ ไม่ว่าจะมีผู้ใดเข้าไปรับรู้ความจริงนี้หรือไม่ก็ตาม ความจริงนี้ก็ยังคงมีอยู่และเป็นจริงตามสภาวะเช่นนั้นตลอดไป ส่วนสมมติสัจจะเป็นความจริงที่มีรากฐานอยู่บนการกำหนดสมมติของมนุษย์ จึงเปลี่ยนแปลงและถูกยกเลิกได้ การกำหนดสมมตินี้ก็คือการสร้างระบบภาษาขึ้นเพื่อใช้เรียกใช้สมมติสิ่งต่างๆ ตลอดจนเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ มนุษย์สามารถสื่อสารความหมายซึ่งกันและกันได้ โดยอาศัยหลักการสร้างนามบัญญัติที่แฝงความหมายคืออรรถบัญญัติไว้ ทั้งนามบัญญัติและอรรถบัญญัติจึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องและต้องประกอบอยู่ด้วยกัน จึงทำให้เกิดเป็นภาษาที่สามารถนำมาใช้สื่อความหมายได้สมบูรณ์ ทั้งปรมัตถสัจจะ และสมมติสัจจะเป็นความจริงที่ต้องอิงอาศัยกัน กล่าวคือปรมัตถสัจจะเป็นความจริงที่ยืนอยู่เป็นแกนมีสารัตถะของความจริงอยู่ในตัวเอง แต่การอธิบายความจริงนั้นจะกระทำได้โดยผ่านทางภาษาซึ่งเป็นสมมติสัจจะ และในทำนองเดียวกันสมมติสัจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นไม่มีสาระ แห่งความเป็นจริงในตัวเอง แต่กลุ่มสมมติลงบนสิ่งซึ่งเป็นปรมัตถสัจจะความจริงแท้ที่อยู่เบื้องหลังความจริงในระดับสมมติก็คือความจริงในระดับปรมัตถ์ ดังนั้นพุทธปรัชญาจึงมีคำสอนที่สอดคล้องกับความจริง 2 ระดับนี้ เพื่อให้มนุษย์ยึดเป็นหลักปฏิบัติคือ โลกกุตตารธรรม และ โลกียธรรม โลกุตตรธรรมเป็นหลักธรรมคำสอนที่มุ่งหมายสู่ความหลุดพ้น ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจในปรมัตถสัจจะเป็นอย่างดี และปฏิบัติหลักการที่ทรงแนะนำไว้คือ มรรคมีองค์แปด ส่วนโลกียธรรม เป็นหลักธรรมการสั่งสอนที่แนะนำประโยชน์เพื่อการดำรงชีพในโลกสังคมอย่างมีความสุข เมื่อศึกษาและทำความเข้าใจกับเรื่องสัจจะนี้อย่างลึกซึ้งเพียงพอแล้วจะพบว่า ความจริงทั้ง 2 ระดับนี้มิได้มีความขัดแย้งกันแต่ประการใด แต่กับมีความประสานสอดคล้องและประกอบอยู่ด้วยกัน เสมือนการมองสิ่งเดียวกันแต่มองจากแง่มุมที่ต่างกัน และทำให้เกิดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพุทธปรัชญาทั้งระบบได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย.

Share

COinS