Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การพิสูจน์เจตนาในทางอาญา
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
lProof of criminal intention
Year (A.D.)
1984
Document Type
Thesis
First Advisor
อภิรัตน์ เพ็ชรศิริ
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
นิติศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
นิติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1984.323
Abstract
เจตนาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบกฎหมายอาญาปัจจุบัน ซึ่งจะต้องพิสูจน์ให้ได้อย่างปราศจากความสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาในการกระทำผิดจริง จึงจะลงโทษจำเลยได้ แต่โดยที่เจตนาเป็นสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจจำเลย ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถหยั่งรู้ได้แน่ชัด การพิสูจน์เจตนาจึงทำได้เพียงเสนอพยายหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงแวดล้อม แล้วให้ศาลอนุมานคาดเดาเอาจากพยายหลักฐานเหล่านั้นตามที่กล่าวกันว่า กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ดังนั้นเจตนาตามที่ศาลกล่าวอ้างในการพิพากษาลงโทษทุกวันนี้ แท้จริงแล้วก็คือ สิ่งที่ได้จากการใช้ดุลพินิจคาดคะเนเอาจากพยานหลักฐานชนิดดังกล่าว สิ่งนั้น จึงอาจเป็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยหรือไม่ก็ได้ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้จึงเป็นการค้นคว้าเพื่อหาหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของศาลในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหมายถึงหลักเกณฑ์และวิธีการพิสูจน์เจตนาทั้งในศาลต่างประเทศและศาลไทย พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการพิสูจน์เจตนาในศาลไทย แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตลอดจนนำเสนอวิธีการสมัยใหม่ที่นำมาใช้ในกระบวนการพิสูจน์เจตนา ทั้งนี้ โดยทำการวิจัยจากหลักฐานตำราภาษาต่างประเทศและภาษาไทย จากการวิจัยพบว่าวิธีการพิสูจน์เจตนาในปัจจุบันนั้นยังไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่าการพิสูจน์จากพยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้น แม้จะปรากฏว่ามีการคิดค้นวิธีการสมัยใหม่ต่างๆ เพื่อค้นหาสภาพจิตใจภายในที่แท้จริง เช่น การใช้เครื่องจับเท็จ การใช้ยาฉีดบางชนิดเพื่อให้พูดความจริง หรือการสะกดจิต แต่วิธีการดังกล่าวก็ยังไม่แน่นอนว่าจะใช้ได้ผลจริง และยังถือว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนอีกด้วย ดังนั้น โดยทั่วไปจึงไม่มีการยอมรับวิธีการดังกล่าว อย่างไรก็ดี วิธีการพิสูจน์เจตนาจากพยานหลักฐานในศาลไทยก็มีปัญหาเกิดขึ้นหลายประการ ปัญหาประการแรกคือ การอนุมานเจตนาของศาลในบางคดียังไม่เป็นบรรทัดฐานแน่นอนซึ่งส่งผลกระทบให้การลงโทษทางอาญาเป็นไปอย่างไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับดุลพินิจตามอำเภอใจของศาล เช่นนี้ทำให้ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ของการลงโทษทางอาญาได้ ปัญหาประการที่สองคือหลักกฎหมายที่ศาลนำมาใช้เป็นดุลพินิจอนุมานเจตนานั้นเป็นกฎหมายของระบบกฎหมายที่แตกต่างไปจากระบบกฎหมายไทย ทำให้การอนุมานเจตนาผิดพลาด หรือให้เหตุผลในคำพิพากษาผิดพลาดไปจากหลักเจตนาตามกฎหมายไทย ปัญหาประการที่สามคือพยานหลักฐานที่ใช้ในการอนุมานเจตนาอาจผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงด้วยเหตุต่างๆ เช่น การให้การเท็จ ความบกพร่องของประสาทรับความรู้สึกหรือความลืมเลือน เป็นต้น ทำให้การพิสูจน์เจตนาเกิดความผิดพลาดไปด้วย และปัญหาประการสุดท้ายคือ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์เจตนาได้ด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นผู้มีหน้าที่โดยตรงในการเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์เจตนา ทำให้พยานหลักฐานในบางคดีไม่เพียงพอแก่การพิสูจน์เจตนา สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาประการแรกนั้น ผู้เขียนเห็นว่า ศาลควรยึดถือแนวการอนุมานเจตนาในคดีก่อนเป็นหลักให้แน่นอนลงไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการลงโทษทางอาญา ส่วนปัญหาประการที่สองนั้นเห็นว่า ศาลควรละทิ้งแนวการอนุมานเจตนาที่ใช้หลักกฎหมายตามทฤษฎีคอมมอนลอว์ โดยใช้ทฤษฎีซิวิลลอว์อันเป็นทฤษฎีที่สอดคล้องกับระบบกฎหมายอาญาของไทยเป็นหลักในการอนุมานเจตนา ในปัญหาประกอรที่สามควรแก้ไขโดยจัดให้มีการอบรมวิชาจิตวิทยา พยานหลักฐานและการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานแก่ผู้พิพากษาทั่วไป และปัญหาประการที่สี่สมควรแก้ไขโดยใหพนักงานอัยการมีอำนาจสอบสวนหาพยานหลักฐานด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องอาศัยพนักงานสอบสวนเฉพาะในกรณีที่ได้พิจารณาสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอแก่การพิสูจน์เจตนา
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
กำพลรัตน์, สุเมธ, "การพิสูจน์เจตนาในทางอาญา" (1984). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53331.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53331