Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การกระทำโดยงดเว้น

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Omission to act

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

วีระพงษ์ บุญโญภาส

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.322

Abstract

ข้อถกเถียงเรื่องการไม่กระทำไม่ควรต้องรับผิดในทางอาญาดูหมดสิ้นไปด้วยเหตุผลที่ว่า การไม่กระทำในกรณีที่ควรกระทำ แล้วสามารถก่อให้เกิดผลร้ายได้ไม่น้อยไปกว่ามีการกระทำความผิดเลย ด้วยเหตุนี้ มาตรา 59 วรรคท้าย ได้นำมาบัญญัติว่า “การกระทำให้หมายความรวมถึง การให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้นโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย" แต่กรณีใดบ้างที่บุคคลจักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ Macaulay นักกฎหมายชาวอังกฤษจึงเห็นว่า ภาระทางศีลธรรม (the moral obligation) เพียงอย่างเดียวยังไม่พอเพียงที่จะก่อให้บุคคลมีความรับผิดทางอาญาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางหลักอย่างมีเหตุผลว่า การไม่มีเมตตาธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตำหนิ โดยทั่วๆ ไปแล้วไม่ควรถือว่าเป็นความผิดและควรลงโทษเฉพาะที่มีพฤติการณ์ เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการบัญญัติกฎหมายเพื่อลงโทษบุคคลเท่านั้น พฤติการณ์ที่เหมาะสมนั้นได้แก่ การมีสภาวะ หรือความผูกพันธ์บางอย่าง หรือ หน้าที่เฉพาะกำหนดหน้าที่แก่บุคคลจำต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น ซึ่งได้แก่ หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ในครอบครัว, เกิดจากบทบัญญัติของกฎหมาย, เกิดจากสัญญา, เกิดจากพฤติการณ์บางอย่างของบุคคล เช่น การรับเข้าดูแลโดยสมัครใจ, การที่ตนก่อให้เกิดอันตราย, การเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าหน้าที่ของบุคคลจะได้รับการขยายออกไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ บุคคลผู้มีหน้าที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น หากเขางดเว้นกระทำแล้วจะก่อให้เขาต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อ เขามีกำลังความสามารถทางกายที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นได้ด้วย สำหรับปัญหาในเรื่องกฎหมายไม่ได้กำหนดหน้าที่ของบุคคลว่า กรณีใดบ้างที่บุคคลจะต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น เป็นการขัดกับหลักนิติธรรมที่ว่า ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ ถ้าไม่มีกฎหมาย (NULLUM CRIMEM NULLA POENA SINE LEGE) นั้น เห็นว่า โดยจริงๆ แล้ว หน้าที่ที่ต้องกระทำนั้นเป็นความรู้สึกของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นเองและเป็นความสำนึกที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน แต่เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะนำมาบัญญัติไว้ในกฎหมายในครอบคลุมในทุกเรื่องได้ ในทางกลับกัน หากนำมาบัญญัติไว้ จะทำให้แคบเกินไป และก่อให้เกิดผลร้ายต่อสังคมโดยส่วนร่วม เพราะเมื่อโลกมีวิวัฒนาการใหม่ เหตุการณ์ใหม่ๆ ย่อมเกิดขึ้น ความผูกพันของมนุษย์ต่อเหตุการณ์นั้น อาจกลายเป็นความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดูเสมือนเป็นการขยายของหน้าที่นั่นเอง และเห็นสมควรเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ และศาลที่วางแนวทางและขอบเขตเพื่อเผยแพร่และเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ เพื่อเป็นบรรทัดฐานของสังคม แต่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่า ผลร้ายที่เกิดขึ้นจากการงดเว้นกระทำจะต้องเป็นผลที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด

Share

COinS