Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิในการแปล และการทำซ้ำซึ่งหนังสือ
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
International copyright in respect to right of translation and reproduction of books
Year (A.D.)
1984
Document Type
Thesis
First Advisor
ไชยยศ เหมะรัชตะ
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
นิติศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
นิติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1984.321
Abstract
ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง ในด้านการคุ้มครองสิทธิของผู้สร้างสรรค์ที่นานาประเทศได้รับรองคุ้มครองด้วยการบัญญัติเป็นกฎหมายภายใน โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองลิขสิทธิ์ในขอบเขตของงานวรรณกรรมและศิลปกรรมอย่างเต็มที่เท่าที่ไม่เป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของสาธารณะ และเพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างสรรค์งานให้มากขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ เป็นการขยายขอบเขตการคุ้มครองลิขสิทธิ์ออกไปยังประเทศอื่นตามพันธกรณีที่ตนผูกพันอยู่ ซึ่งในปัจจุบันมักจะเป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งก็คือ อนุสัญญาเบอร์นเพื่อการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม และอนุสัญญาลิขสิทธิ์สากล โดยอนุสัญญาทั้งสองฉบับได้บัญญัติให้ประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาจะได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ในประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาอื่นในลักษณะตอบแทนกัน แต่อนุสัญญาทั้งสองนี้ก็มีลักษณะแตกต่างกันในรูปแบบของการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตามก็ได้คำนึงถึงประเทศกำลังพัฒนาที่จะนำงานสร้างสรรค์ของประเทศพัฒนาแล้วมาใช้ในการพัฒนาประเทศจึงได้ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่จะสามารถใช้สิทธิในการแปลและการทำซ้ำในระบบออกใบอนุญาต สำหรับประเทศไทยได้เป็นภาคีแห่งอนุสัญญาเบอร์นอยู่ 2 ฉบับ คือ ฉบับ Berlin Act, ค.ศ. 1908 ซึ่งสำเร็จโดย Berne Convention Protocol ค.ศ. 1914 โดยได้ทำข้อสงวนขอใช้มาตราของฉบับ Berne Convention ค.ศ. 1886 และ/หรือ Paris Act, ค.ศ. 1896 แทน รวม 6 ข้อ ซึ่งมีสิทธิในการแปลและการทำซ้ำด้วย ในภาคสาระบัญญัติ และฉบับ Paris Act, ค.ศ. 1971 ในภาคบริหาร โดยประเทศไทยได้ตรากฎหมายให้งานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วย และกฎหมายประเทศนั้นได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่นๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าว หรืองานอันมีลิขสิทธิ์ขององค์การระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย ให้ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขในพระราชกฤษฎีกา แต่เนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. 2526 ได้ประกาศใช้ภายหลังพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ดังนั้นในช่วงระยะเวลาที่มิได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา จึงต้องนำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 มาใช้บังคับกับลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศด้วยเพราะพระราชกฤษฎีกาเป็นเพียงเงื่อนไขในรายละเอียดที่เกี่ยวกับข้อจำกัดหรือข้อยกเว้นการคุ้มครองเท่านั้น ซึ่งหากไม่มีพระราชกฤษฎีกาก็สามารถนำพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 มาบังคับใช้ได้ และทั้งเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ต้องการให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ และในทำนองเดียวกันกับงานอันมีลิขสิทธิ์ขององค์การระหว่างประเทศ ก็จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 เพราะมิได้บัญญัติเงื่อนไขแห่งการคุ้มครองไว้ในพระราชกฤษฎีกาแต่ประการใด นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีพันธกรณีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศอยู่ตามสนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกาเนื่องจากประเทศไทยใช้ทฤษฎีที่ถือว่า สนธิสัญญาจะไม่มีผลบังคับเป็นกฎหมายภายในทันทีจึงไม่อาจนำไปใช้บังคับเช่นกฎหมายภายในได้ ทั้งไม่อาจนำมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 มาบังคับใช้ได้ แต่ในบางกรณีศาลยุติธรรมก็ได้เคยวินิจฉัยตีความสนธิสัญญาไว้โดยตรงเสมือนกฎภายใน แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นบรรทัดฐานได้ ซึ่งหากรัฐมีความต้องการให้ความคุ้มครองงานของประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ควรแก้ไขมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 โดยให้ครอบคลุมถึงงานดังกล่าวด้วย สิทธิในการแปลซึ่งหนังสือต่างประเทศของไทย ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 5 วรรค 2 ของพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไข เพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. 2526 โดยใช้ระบบสิบปี ตามข้อสงวนที่ 3 ที่ขอใช้มาตรา 1 วรรค 3 ของ Paris Act, ค.ศ. 1896 และมาตรา 5 วรรค 2,3 และ 4 ของ Berne Convention, ค.ศ. 1886 แทนมาตรา 8 ของ Berlin Act, ค.ศ. 1908 โดยในงานวรรณกรรมหรือนาฏกรรม หากเจ้าของลิขสิทธิ์มิได้จัดให้มีหรืออนุญาตให้ผู้ใดจัดทำคำแปลเป็นภาษาไทย และโฆษณาคำแปลนั้นภายในราชอาณาจักรภายในสิบปี นับตั้งแต่วันสิ้นปีปฏิทินของปีที่ได้มีการโฆษณาวรรณกรรมหรือนาฏกรรมดังกล่าวเป็นครั้งแรก ให้ถือว่าสิทธิที่จะห้ามมิให้ทำการซ้ำ ดัดแปลง หรือโฆษณาซึ่งคำแปลภายในราชอาณาจักรเป็นอันสิ้นสุด ซึ่งมิได้บัญญัติถึงการสิ้นสุดลงของสิทธิในการแปลตามพันธกรณีระหว่างประเทศหรือเหมือนกับที่กฎหมายในประเทศอื่นๆ ใช้ นอกจากนั้นมิได้บัญญัติให้การคุ้มครองงานแปลได้รับความคุ้มครองเหมือนงานแรกเริ่มเท่าที่ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์เดิม และไม่อาจนำมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2521 มาบังคับใช้ได้ เพราะการแปลที่มิได้รับการอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์แต่ด้วยการอาศัยการตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และทฤษฎีพื้นฐานของกฎหมายลิขสิทธิ์จึงทำให้บทบัญญัติทั้งสองมีความสอดคล้องพันธกรณีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากผลของการตีความในชั้นศาลยุติธรรมเป็นไปในทางตรงข้าม ก็ควรจะมีการแก้ไขกฎหมายเสียใหม่ ส่วนในด้านของสิทธิในการทำซ้ำซึ่งหนังสือต่างประเทศของไทยนี้ ได้ใช้ระบบบทบัญญัติทั่วไป ซึ่งไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศทั้งในมาตรา 1 วรรค 4 ของ Paris Act, ค.ศ. 1896 (ข้อสงวนข้อที่ 4) และมาตรา 9 ของ Berlin Act, ค.ศ. 1908 ซึ่งใช้ระบบบทบัญญัติเฉพาะงาน แต่บทบัญญัติของไทยนี้ เป็นการให้ความคุ้มครองมากกว่าความผูกพันตามพันธกรณีดังกล่าว จึงไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับพันธกรณีตามอนุสัญญาเบอร์น หากประเทศไทยต้องการใช้สิทธิในการทำซ้ำในระบบบทบัญญัติเฉพาะงานก็ควรแก้กฎหมายเสียใหม่ ส่วนในด้านของสิทธิในการแปลและการทำซ้ำซึ่งหนังสือต่างประเทศ ในระบบต่างๆ ตามอนุสัญญาเบอร์นนี้ ประเทศไทยน่าจะนำสิทธิในการแปลในระบบสิบปี และสิทธิในการทำซ้ำในระบบออกใบอนุญาตทำซ้ำมาใช้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย สำหรับในด้านอนุสัญญาลิขสิทธิ์สากล ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยยังมิได้เป็นภาคีสมาชิก หากประเทศไทยมีความต้องการเข้าเป็นภาคีแห่งอนุสัญญาลิขสิทธิ์สากล ก็น่าจะใช้สิทธิในการแปลและการทำซ้ำซึ่งในหนังสือในระบบบัญญัติยกเว้นสำหรับประเทศกำลังพัฒนา แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงพันธกรณีหรือผูกพันใหม่จะต้องพิจารณาในด้านอื่นๆ ประกอบด้วยเพราะวิทยานิพนธ์นี้ทำการวิจัยเฉพาะด้านของลิขสิทธิ์ในการแปลและการทำซ้ำซึ่งหนังสือเท่านั้น
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
กิติสมเกียรติ, พงษ์ศักดิ์, "ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิในการแปล และการทำซ้ำซึ่งหนังสือ" (1984). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 53329.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/53329