Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การวิเคราะห์พฤติกรรมการออมของครัวเรือน ในเขตเมืองและเขตชนบท ของประเทศไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The analysis of household saving behavior in urban and rural areas of Thailand

Year (A.D.)

1984

Document Type

Thesis

First Advisor

วีรพงษ์ รามางกรู

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

เศรษฐศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1984.19

Abstract

ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าแม้อัตราการเจริญเติบโตของระบบเศรษฐกิจในแต่ละปีจะมีอัตราค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ประเทศก็ยังคงประสบปัญหาด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจและฐานะการเงิน ดังจะเห็นได้จากประเทศที่มีการขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเงินสะพัดติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี ทั้งนี้สาเหตุเนื่องมาจากในภาครัฐบาลและภาคเอกชนมีการใช้จ่ายเกินกำลังทรัพยากรที่มีอยู่ ทำให้ช่องว่างระหว่างการออมและการลงทุนได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศก่อให้เกิดหนี้สินปีละหลายหมื่นล้านบาท ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรเร่งระดมเงินออมภายในประเทศให้มากขึ้น ซึ่งในการศึกษาวิจัยในที่นี้ได้ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการออมของครัวเรือนในเขตเมืองและเขตชนบทของภาคต่างๆ โดยศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสามารถในการออม, ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออม, รูปแบบการออมที่อยู่ในความนิยม, เหตุผลและวัตถุประสงค์ในการออม ตลอดจนอุปสรรคของการออม เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางนโยบายชักชวนและกระตุ้นให้ครัวเรือนออมทรัพย์กับสถาบันการเงินมากขึ้น และออมทรัพย์กับตลาดการเงินนอกระบบลดลง วิธีการศึกษาในที่นี้ ได้ทำการวิเคราะห์โดยใช้ตารางทางสถิติ และสร้างแบบจำลองพฤติกรรมการออมของครัวเรือน และแบบจำลองความต้องการออมในลักษณะต่างๆ ที่อยู่ในความนิยมของครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วยความต้องการออมในรูปเงินสด ความต้องการออมในรูปเงินฝากธนาคารออมสินและสลากออมสิน ความต้องการออมในรูปเงินผ่านธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ และความต้องการออมในรูปกรมธรรม์ประกันชีวิต โดยในการศึกษาได้ใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามโครงการระดมเงินออมปี 2523 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ผลการศึกษาวิเคราะห์สรุปได้ว่า ครัวเรือนส่วนใหญ่มีสัดส่วนการออมในรูปของการถือสินทรัพย์ทางการเงินในระบบต่อสินทรัพย์ทางการเงินรวมสูงกว่าสินทรัพย์ทางการเงินนอกระบบทั้งนี้ ยกเว้นในเขตชนบทของ กทม. และ 3จังหวัดรอบนอกที่มีสัดส่วนการถือสินทรัพย์ทางการเงินนอกระบบสูงกว่าในระบบ ซึ่งรูปแบบของสินทรัพย์ทางการเงินในระบบที่อยู่ในความนิยม ได้แก่ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ กรมธรรม์ประกันชีวิต เงินฝากธนาคารออมสินและสลากออมสิน ส่วนรูปแบบของสินทรัพย์ทางการเงินนอกระบบได้แก่ การเล่นแชร์ และเงินให้กู้ยืม สำหรับเหตุผลสำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจออมรูปแบบต่างๆ ได้แก่ สถานที่ตั้งของสถาบันการเงิน, ความสามารถในการถอนเงิน, ความมั่นคงของสถาบัน และผลตอบแทนที่ได้รับ โดยในการออมนั้นมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือเพื่อไว้ใช้ยามชราและเจ็บป่วย เพื่อการศึกษา และเพื่อป้องกันการสูญหาย ส่วนอุปสรรคที่ไม่ทำการออมกับสถาบันการเงิน ได้แก่ รายได้ต่ำ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุเกี่ยวกับความไม่เข้าใจวิธีการออมกับสถาบันการเงิน สำหรับค่าความโน้มเอียงเฉลี่ยในการออม (APS) นั้น ปรากฏว่าใน กทม. และ 3 จังหวัดรอบนอก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นมีค่า APS ในเขตเมืองเท่ากับชนบท ส่วนภาคอื่นๆ ค่า APS ในเขตเมืองสูงกว่าเขตชนบท อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเฉพาะกรณีที่ครัวเรือนมีรายได้อยู่ระหว่าง 600-10,000 บาท พบว่า APS ในเขตเมืองจะสูงกว่าเขตชนบทเฉพาะใน กทม. และ 3 จังหวัดรอบนอกกับภาคใต้เท่านั้น ส่วนในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ APS ในเขตชนบทสูงกว่าเขตเมือง สำหรับค่า MPS พบว่าภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่มีค่า MPS ในเขตชนบทสูงกว่าเขตเมืองส่วนภาคอื่นๆ พบว่าในเขตเมืองสูงกว่าเขตชนบท สำหรับผลการวิเคราะห์แบบจำลองพฤติกรรมการออมโดยใช้วิธีทางเศรษฐมิติ พบว่าในทุกภาค รายได้และขนาดของครัวเรือนเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดพฤติกรรมการออมของครัวเรือน โดยรายได้มีความสัมพันธ์ในทางบวก และขนาดครัวเรือนมีความสัมพันธ์ในทางลบ ส่วนปัจจัยที่กำหนดความต้องการออมในรูปแบบต่างๆ ของครัวเรือนนั้น พบว่า รายได้, จุดมุ่งหมายในการออมเพื่อป้องกันการสูญหาย, ผลตอบแทน และสถานที่ตั้งของสถาบันมีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการอธิบายความต้องการออมดังกล่าวของครัวเรือน นอกจากนี้ในการศึกษานี้ยังได้วิเคราะห์แบบจำลองออมของครัวเรือนโดยจำแนกตามชั้นอายุของหัวหน้าครัวเรือนและชั้นรายได้ด้วย กรณีจำแนกตามชั้นอายุของหัวหน้าครัวเรือนพบว่า ความโน้มเอียง, เฉลี่ยในการออมของครัวเรือนในแต่ละภาคส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงความสัมพันธ์อย่างแน่ชัดกับช่วงชั้นอายุ จึงไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นไปตามสมมติฐานวัฎจักรชีวิต (life cycle hypothesis) สำหรับกรณีจำแนกตามชั้นรายได้พบว่า เมื่อระดับรายได้เพิ่มขึ้น ความโน้มเอียงเฉลี่ยในการออมจะเพิ่มขึ้นตาม อนึ่ง ผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยในที่นี้ คาดว่านอกจากจะใช้เป็นแนวทางในการวางมาตรการระดมเงินออมเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงสถาบันการเงินให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันเป็นการพัฒนาตลาดการเงินในระบบให้ขยายกว้างออกไป เพื่อจะได้ลดบทบาทของตลาดการเงินนอกระบบให้น้อยลง ซึ่งจะส่งผลในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย

ISBN

9745631515

Share

COinS