Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การศึกษาวิเคราะห์เรื่องเสภาเพื่อการเรียนการสอนวรรณคดีไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
An analytical study of "Sepa" for Thai literature instruction
Year (A.D.)
1983
Document Type
Thesis
First Advisor
ประภาศรี สีหอำไพ
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
มัธยมศึกษา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1983.216
Abstract
วัตถุประสงค์การวิจัย มี 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษารวบรวมเกี่ยวกับเรื่องเสภาด้านประวัติความเป็นมา วิธีการขับเสภาจากเอกสารและผู้ทรงคุณวุฒิ 2) เพื่อวิเคราะห์ฉันทลักษณ์ด้านการใช้คำและวิเคราะห์ลีลาการขับเสภา 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูภาษาไทยเกี่ยวกับสภาพการเรียนการสอนวรรณคดีที่เป็นบทเสภา วิธีดำเนินการวิจัย คือ 1) ผู้วิจัยศึกษารวบรวมประวัติความเป็นมาของเสภา ประวัติครูเสภา วิธีการขับเสภา การทำกรับและการตีกรับเสภาจากเอกสารและผู้ทรงคุณวุฒิ 2) นำบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน 4 ประเภท คือ ชม รัก โกรธ โศก ประเภทละ10 บทกลอน มาวิเคราะห์ฉันทลักษณ์ด้านการใช้คำด้วยแบบวิเคราะห์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และนำเทปบันทึกเสียงขับเสภา 4 ประเภท ที่ครูเสภา 2 ท่าน ขับให้เวลาประเภทละ 10 นาที มาวิเคราะห์ลีลาการขับด้วยแบบวิเคราะห์ที่ผู้วิจัยดัดแปลงจากแบบวิเคราะห์พฤติกรรมทางวาจาของแฟลนเดอร์ส (Flanders’ Interaction Analysis Technique) โดยการหาค่าร้อยละ เสนอผลการวิเคราะห์ในรูปตารางและการบรรยาย 3) ส่งแบบสอบถามครูภาษาไทยผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายในจังหวัดอยุธยา ซึ่งเคยมีการเล่นการขับเสภาในอดีตและในกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังมีการเล่นการขับเสภาอยู่ในปัจจุบัน จำนวน 93 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบธรรมดา นำมาวิเคราะห์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเสนอผลในรูปตารางและการบรรยาย ผลการวิจัยสรุปว่า จากผลการศึกษาทางเอกสารและผู้ทรงคุณวุฒิได้มีการรวบรวมเรื่องราวต่อไปนี้ คือ 1) การรวบรวมข้อสันนิษฐานความหมายคำว่าเสภาที่ผู้รู้ให้ไว้ ลักษณะของกลอนเสภา มูลเหตุ วิวัฒนาการ เรื่องที่ใช้ขับและแสดง 13 เรื่อง อุปกรณ์การขับ ประวัติครูเสภาในอดีตและปัจจุบัน การละเล่นเกี่ยวกับเสภา การขับเสภาไทยที่เป็นบทสะเทือนอารมณ์ คือ บทชม บทรัก บทโกรธ และบทโศก ในด้านกลวิธีการขับ คือ การตีความและคำ การเริ่มต้นขับท่วงทำนองการขับ การขับเสภามอญและลาวในด้านประวัติและวิธีการขับ 2) ผลการวิเคราะห์การใช้คำในบทเสภาพบว่า บทเสภาที่สะเทือนอารมณ์ทั้ง 4 ประเภท มีลักษณะคล้ายกัน คือ แต่ละบทมีเสียงวรรณยุกต์สามัญมาก มีสระเสียงยาวมากกว่าสระเสียงสั้น มีคำเป็นสระเสียงยาวมากกว่าคำเป็นสระเสียงสั้น ที่เป็นคำตายจะมีคำตายสระเสียงสั้นมากกว่าคำตายสระเสียงยาว พยัญชนะต้นมีเสียงอักษรต่ำมาก รองลงมามีเสียงอักษรกลางและสูงตามลำดับ มีเสียงควบกล้ำน้อย 3) ผลการวิเคราะห์ลีลาการขับเสภาพบว่า ครูเสภาทั้ง 2 ท่าน ขับดำเนินความมากในบทชม คือ ร้อยละ 62.00 ของเวลาการขับทั้งหมด และลดลงตามลำดับในบทรัก บทโกรธและบทโศก ศิลปะการขับที่ใช้มากสม่ำเสมอ คือ การกลั้นสียง ซึ่งเป็นลักษณะทั่วๆ ไป ของการขับเสภาทั้ง 4 ประเภท การขับบทชมและบทรัก ครูเสภาผู้ขับจะใช้ศิลปะการขับบางชนิด คือ ขับเน้นคำและความ เล่นลูกคอ และเล่นทำนองและใช้ไม่มาก การขับบทโกรธพบว่า ครูเสภาขับโดยใช้ศิลปะเพียง 3 ชนิด คือ ขับดำเนินความเน้นคำและความโดยวิธีกระแทกเสียงและการกลั้นเสียง การขับบทโศก ครูเสภาทั้ง 2 ท่าน ขับดำเนินความน้อยลงใช้ศิลปะการขับทุกชนิดยกเว้นการกระแทกเสียงเพียงอย่างเดียว 4) ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามครูภาษาไทยพบว่า ด้านการเรียกการสอนโดยเฉลี่ยแล้ว ครูภาษาไทยสังเกตพบว่า นักเรียนชอบฟังครูขับเสภาให้ฟังเองในเวลาสอนวรรณคดีที่เป็นบทเสภา นักเรียนชอบเรียนวรรณคดีที่บทเสภาแบบขับเสภามากกว่าอ่านแบบทำนองเสนาะธรรมดา การเชิญผู้ทรงคุณวุฒิทางเสภามาบรรยายและขับเสภาให้นักเรียนฟัง ครูภาษาไทยทำอยู่ในระดับน้อยที่สุด ด้านความรู้และความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเสภา ครูมีความรู้เรื่องการใช้ศิลปะการขับเสภาอยู่ในระดับน้อยแต่ก็สนใจ อยากรู้อยากเรียนเกี่ยวกับเรื่องเสภาเรื่องการขับการอ่านที่ถูกวิธีเพื่อช่วยการเรียนการสอนภาษาไทยในระดับมาก ครูภาษาไทยมีความคิดเห็นพ้องกันเป็นส่วนมากกว่า ครูภาษาไทยควรรักและหวงแหนวรรณคดีมรดกของไทย ควรขับเสภาและอ่านทำนองเสนาะเป็นเองเป็นอย่างดีอันจะช่วยให้การเรียนการสอนในส่วนตัวครูเองด้านการเรียนการสอนวรรณคดีประเภทวรรณคดีมรดกและช่วยให้นักเรียนมีความซาบซึ้งในวรรณคดีมรดกของไทยมากยิ่งขึ้น
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
วงษ์ศิริ, ไพศาล, "การศึกษาวิเคราะห์เรื่องเสภาเพื่อการเรียนการสอนวรรณคดีไทย" (1983). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 50917.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/50917