Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของเสียงสระและความหมาย ของคำซ้ำสองพยางค์ในภาษาไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Relations of vowel patternings and meanings of disyllabic reduplicatives in Thai
Year (A.D.)
1983
Document Type
Thesis
First Advisor
ปราณี กุลละวณิชย์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
อักษรศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
ภาษาศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1983.607
Abstract
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของเสียงสระและความหมายของคำซ้ำสองพยางค์ในภาษาไทย คำซ้ำในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้หมายถึงคำที่มีเสียงซ้ำกัน โดยอาจซ้ำกันทุกเสียง เช่น ดี ๆ /dii dii/ หรือซ้ำเสียงบางเสียงก็ได้ เช่น ดีเดอ / dii dee/ ผู้วิจัยได้จำกัดขอบเขตของการวิจัยด้วยการศึกษา เฉพาะคำซ้ำสองพยางค์ที่พยางค์ทั้งสองมีเสียงซ้ำกันเพียงบางเสียงเท่านั้น คำซ้ำดังกล่าวอาจมีพยางค์หนึ่งเป็นพยางค์หลัก คือพยางค์ที่สามารถเกิดเดี่ยวเป็นคำได้ หรืออาจไม่มีพยางค์หลักเลยก็ได้ ถ้ามีพยางค์หลัก พยางค์ที่เหลือที่แสดงการซ้ำเสียงนั้นจะต้องมีความหมายเกี่ยวข้องกับความหมายของพยางค์หลัก เช่น โครมคราม /khroom khraam/ ถ้าไม่มีพยางค์หลัก พยางค์ทั้งสองจะต้องแสดงเสียงสระที่เป็นรูปแบบ และทั้งสองพยางค์นั้นจะต้องเกิดร่วมกันเสมอเพื่อให้เกิดความหมายของคำซ้ำนั้น ๆ เช่น อ้อแอ้ / วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มี 5 บทรวมทั้งภาคผนวกในตอนท้าย บทที่ 1 เป็นบทนำว่าด้วยวัตถุประสงค์และขอบเขตของการวิจัย บทที่ 2 เป็นการศึกษาค้นคว้าเรื่องคำซ้ำทั้ง คำว่า ‘เกี่ยวข้อง’ หมายถึงความหมายที่แสดงความรู้สึกนึกคิดในแง่ต่าง ๆ ของผู้พูดต่อสิ่ง, บุคคล หรือกริยาอาการซึ่งเป็นความหมายของพยางค์หลัก ดูบทที่ 4 ในภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ บทที่ 3 เป็นการศึกษารูปแบบของเสียงสระของคำซ้ำ บทที่ 4 แสดงความหมายของคำซ้ำและความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของเสียงสระ บทที่ 5 เป็นการสรุปผลการวิจัย ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะ จากการศึกษาปรากฏว่าคำซ้ำสองพยางค์ในภาษาไทยมีรูปแบบของเสียงสระ อยู่ 2 แบบใหม่ๆ แบบที่ 1 คือไม่มีข้อจำกัดของคู่สระที่เกิดร่วมกันในพยางค์ที่หนึ่งและพยางค์ที่สอง กล่าวคือสระในพยางค์หลักจะเป็นสระใดๆ ก็ได้ แต่สระในพยางค์ซ้ำจะต้องเป็นสระใดสระหนึ่งในสระต่อไปนี้ คือ สระกลาง-กลาง //, สระหน้า-ต่ำ // หรือ สระหลัง-กลางสั้น / / ตามด้วยพยัญชนะนาสิก / / เช่นในคำว่า กินเกิน /kin krn/ ตีแต /dii dee/ | น่งนั่ง /non nan/ คำซ้ำที่มีการซ้ำแบบนี้จะเกิดได้กับหมวดคำทุกประเภท แบบที่สอง คือมีข้อจำกัดของคู่สระที่เกิดร่วมกันในพยางค์ที่หนึ่งและพยางค์ที่สองไม่ว่าพยางค์หลักจะอยู่หน้าหรือหลัง อีกทั้งยังมีข้อจำกัดว่าจะการซ้ำแบบนี้ เฉพาะในหมวดคำกริยาอกรรม หมวดคำคุณศัพท์ และหมวดคำกริยาวิเศษณ์ เท่านั้น รูปแบบของเสียงสระในพยางค์ทั้งสองจะเป็นแบบใดแบบหนึ่งในแบบต่อไปนี้ คือ สระหลัง-สระหน้า เช่นในคำว่า โยกเยก /jook jeek/ อ้อแอ้ หรือ สระสูงหรือกลาง-สระต่ำ เช่นในค่ำว่า กรี๊ดกร๊าด /kriit kraat/ ด้วยเหตุที่คำซ้ำแบบที่สองมีข้อจำกัดของคู่สระที่เกิดร่วมกันในพยางค์ทั้งสองนี้เองอาจมีส่วนทำให้คำซ้ำแบบนี้เกิดขึ้นน้อยกว่าแบบแรก แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดเป็นคำซ้ำได้ คำซ้ำที่มีรูปแบบของเสียงสระอยู่ 2 แบบใหญ่นี้จะมี 2 ความหมายใหญ่ๆ แต่ละความหมายจะมีความสัมพันธ์กับรูปแบบของเสียงสระ ความหมายที่ 1 จะแสดงทัศนคติของผู้พูดที่มีต่อสิ่ง, หรือบุคคลในแง่ไม่สู้ดี รูปแบบของเสียงสระเป็นแบบที่ 1 คือไม่มีข้อจำกัดของคู่สระที่เกิดร่วมกันในพยางค์ที่หนึ่งและพยางค์ที่สอง ความหมายที่ 2 เป็นความหมายที่เกี่ยวกับความรู้สึกของผู้พูดที่มีต่อสิ่งหรือบุคคลที่ใช้คำซ้ำนั้น ๆ มาขยายรูปแบบของเสียสระเป็นแบบที่ 2 คือมีข้อจำกัดของคู่สระที่เกิดร่วมกันในพยางค์ที่หนึ่งและพยางค์ที่สอง ความหมายที่ 2 นี้อาจแยกเป็นความหมายย่อยได้อี 5 ความหมาย คือ ความหมายที่เป็นการเพิ่มน้ำหนักความหมายของพยางค์หลักที่เกี่ยวกับลักษณะหรืออาการ. ความหมายที่เป็นการเพิ่มน้ำหนักความหมายของพยางค์หลักที่เกี่ยวกับปริมาณของเสียงให้มีมากขึ้น, ความหมายที่เป็นการเพิ่มน้ำหนักความหมายของพยางค์หลักโดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงความหมายของพยางค์หลักบ้างเล็กน้อย, ความหมายที่บอกลักษณะเกี่ยวกับเสียง ความหมายที่บอกลักษณะเกี่ยวกับอาการหรือท่าทาง
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
อุดมมณีสุวัฒน์, อภิรดี, "ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบของเสียงสระและความหมาย ของคำซ้ำสองพยางค์ในภาษาไทย" (1983). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 50892.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/50892