Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องความดีในปรัชญาจีนสมัยโบราณ

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

An analytical study of the concept of goodness in ancient Chinese philosophy

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

วิจิตร เกิดวิสิษฐ์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ปรัชญา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.591

Abstract

การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องความดีในปรัชญาจีนโบราณนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อให้ ทราบว่านักปรัชญาจีนโบราณทั้งหลายมีทัศนะเรื่องความดีอย่างไร มีพื้นฐานหรือแรงจูงใจอะไรบ้าง ที่ทำให้นักปรัชญาแต่ละท่านเสนอแนวความคิดเรื่องความดี ความคิดของแต่ละลัทธิขัดแย้งและสอดคล้องกันอย่างไรหรือไม่ ผลที่ได้รับจากการศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องนี้ทำให้ได้ทราบว่า สาเหตุที่ทำให้ นักปรัชญาจีนโบราณเหล่านี้เสนอแนวความคิดของตนนั้นคือ สภาพการณ์ที่สับสนวุ่นวายของสังคมจีน ที่แบ่งแยกกันออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย และแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่ด้วยการสู้รบตลอดเวลา สังคมไม่สงบสุข นักปรัชญาเหล่านี้จึงมีแนวคิดร่วมกันคือต้องการสร้างสังคมอุดมคติขึ้นมาให้จงได้ ดังนั้นการเข้าถึงสังคมอุดมคติเป็นเป้าหมายร่วมที่สอดคล้องกันของนักปรัชญาทั้งหลาย แต่เนื่องจากนักปรัชญาแต่ละท่านมีความเป็นตัวของตัวเองจึงเสนอทฤษฎีของตนออกมาอย่างอิสระ วิธีการไปสู่เป้าหมายที่นักปรัชญาเหล่านั้นเสนอจึงมีทั้งสอดคล้องกัน แตกต่างกัน และขัดแย้งกัน ในการศึกษาเรื่องนี้พอสรุปแนวคิดเรื่องความดีของปรัชญาจีนโบราณเป็น 3 ลัทธิ ซึ่งมีลักษณะเด่นของแต่ละลัทธิคือ 1. มนุษยนิยม ซึ่งได้แก่แนวความคิดที่มุ่งปรับปรุงบุคคลที่ประกอบกันเป็นสังคมให้เป็นคนดีทั้งหมด แล้วจะถึงสังคมอุดมคติได้ ซึ่งได้แก่ความคิดของนักปรัชญาลัทธิขงจื้อเป็นส่วนใหญ่หลักคำสอนสำคัญคือการมีมนุษยธรรม ( ยิ้น ) การมีจิตใจบริสุทธิ์ซื่อสัตย์ และปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนในสังคมตามตำแหน่งหน้าที่ที่มีอยู่ในสังคมอย่างดีที่สุด สำหรับลัทธินี้ความดีมิได้เป็นเพียงอภิปรัชญาที่อยู่ภายนอก แต่ความดีดูได้เห็นได้จากการปฏิบัติตนของคนดีทั้งหลายที่เคยมีมาแล้วในอดีต เช่น กษัตริย์นักปราชญ์โบราณเป็นต้น ตลอดจนสังคมอุดมคติก็เคยมีปรากฏมาแล้วในอดีตเช่นกัน การที่คนจะมีความดีอยู่ในตัวเองได้ก็โดยดูแบบอย่างคนดีในอดีต แล้วฝึกอบรมตนเองไปตามแนวนั้น การที่คนดีจะดีถึงที่สุดหรือไม่นั้นก็สามารถตรวจสอบได้ โดยใช้คนดีในอดีตเป็นมาตรฐาน หรือเครื่องวัด แนวความคิดหลักของลัทธินี้ก็คือ ให้ทุกคนในสังคมช่วยกันสร้างสังคมที่ดีเหมือนอย่าง เช่นสังคมโบราณที่กษัตริย์นักปราชญ์ เช่น พระเจ้าเย้าและพระเจ้าซุ่น ได้ประสบผลสำเร็จมาแล้ว สำหรับม่อจื้อแม้ไม่ได้เป็นนักปราชญ์ในลัทธิขงจื้อ แต่ก็มีแนวความคิดเช่นเดียวกันคือ สนับสนุนยกยองว่าสังคมโบราณนั้นเป็นสังคมอุดมคติ แต่ก็มีความคิดที่แย้งกับลัทธิขงจื้อคือม่อจื้อสนับสนุนความรักสากล ส่วนลัทธิขงจื้อไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้เลย 2. ธรรมชาตินิยม ความคิดเห็นของนักปรัชญาลัทธินี้เน้นความเรียบง่ายและเป็นไปตาม กฎตายตัวของธรรมชาติคือลัทธิเต๋า ซึ่งแนวความคิดเรื่องความดีนั้นลัทธินี้สอนไว้ว่าความดีที่แท้จริงก็ คือวิถีทางของธรรมชาตินั้นเอง หลักปฏิบัติที่มนุษย์ที่ดีควรทำคือปฏิบัติตามหลัก หวู เหว่ย คือการไม่ กระทำอะไรที่ขัดกับการดำเนินไปของธรรมชาติ ความชั่วก็คือการพยายามที่จะปรับปรุงเปลี่ยนธรรมชาติ ดังนั้นการสร้างอารยธรรม วัฒนธรรม และความเจริญทั้งหลายที่มนุษย์ได้สร้างสมกันมาตลอด ระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ ไม่ใช้สิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นการทำลายสภาพที่ดีงามของ ธรรมชาติให้สูญเสียไป ความดีของลัทธินี้จึงแยงกับแนวความคิดของฝ่ายมนุษย์นิยมและ ลัทธินี้ถือว่า ไม่มีมาตรการไดที่ใครจะสามารถเป็นผู้กำหนดให้เป็นอย่างเดียวกัน และนำไปใช้กับธรรมชาติทุกสิ่งได้ ดีที่มนุษย์บัญญัติขึ้นตามลัทธิขงจื้อจึงไม่ถูกต้อง ดีจึงเป็นไปตามกฎในธรรมชาติของแต่ละสิ่ง การที่มนุษย์คนใดพยายามแก้ไขธรรมชาติเพื่อสนองความปรารถนาของตนจึงไม่จัดเป็นมนุษย์ที่ดี มนุษย์ที่ดีคือมนุษย์ที่พยายามปรับปรุงตนเองให้เข้ากับกฎธรรมชาติ สังคมอุดมคติคือสังคมที่มนุษย์อยู่ร่วมกันตามสภาพดั้งเดิมของธรรมชาติ ไม่ต้องมีผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง หรือถ้าหากจำเป็นต้องมี ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่มีการกดขี่เอารัดเอาเปรียบกันแกประการใดทั้งสิ้นไม้ใช้เครื่องมือใดๆ เพื่อประหัตประหารซึ่งกันและกันเพื่อแย่งความเป็นใหญ่กันเลย 3. นิติธรรมนิยม ได้แก่ความคิดของนักปรัชญาฝ่ายนิติธรรม เช่น ฮั่นใฝ่จื้อ ที่เห็นว่า การใช้กฎหมายอย่างถูกต้องเท่านั้นสังคมอุดมคติจึงจะเกิดขึ้นได้ การจะรอให้คนทำดีได้เอง ดังคำสอนของลัทธิขงจื้อเป็นเรื่องยากมากเพราะคนมีแนวโน้มที่จะทำชั่วมากกว่าทำดี จึงทำให้ สังคมวุ่นวาย แต่ถ้ามีกฎหมายที่ถูกต้องคือมีบทลงโทษรุนแรงแก่ผู้ฝ่าฝืน และให้รางวัลตอบแทน อย่างงามแก่ผู้ปฏิบัติตามก็จะทำให้คนในสังคมไม่กล้าทำผิดและพยายามทำดี คือ ทำตามกฎหมายและไม่สนับสนุนให้กลับไปใช้ชีวิตอย่างที่เป็นมาแล้วในอดีต เพราะสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การกลับไปสู่อดีตจึงเป็นเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ และการที่ให้คนปล่อย ตัวไปตามธรรมชาติอย่างเช่นลัทธิเต๋าสอนก็ไม่มีทางทำได้ เพราะมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติจนไม่อาจคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว สาหรับลัทธินี้ความดีหรือการเป็นคนดีไม่ใช้เรื่องสำคัญในการสร้างสังคม กฎหมายที่ดีมีบทบังคับแน่นอนตายตัวให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนเท่านั้นจึงเป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับ ชนชั้นปกครองที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือนำสังคมไปสู่สังคมอุดมคติได้ สรุป ถึงแม้ว่าแต่ละลัทธิจะมีความเห็นในวิธีการไปสู่เป้าหมายคือสังคมอุดมคติแตกต่างกันก็ตาม แต่ชาวจีนก็ได้รับแนวความคิดของทุกฝ่าย และเลือกเฉพาะคำสอนที่ตนพอใจนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าคำสอนของแต่ละลัทธิไม่สามารถสร้างสังคมอุดมคติขึ้นมาจริงๆได้เลย

Share

COinS