Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเปรียบเทียบการสอนคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่สอง โดยวิธีสอนแบบอุปมานและแบบอนุมาน

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A comparison of teaching mathematics in prathom suksa two by using inductive mehtod and deductive method

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

วรรณี ศิริโชติ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ประถมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.108

Abstract

วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนและรูปเรขาคณิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สอง ที่ได้รับการสอนโดยวิธีสอนแบบอุปมานและแบบอนุมาน วิธีดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้เลือกเนื้อหาที่จะสอน 2 เรื่อง คือเรื่องเศษส่วนและรูปเรขาคณิต เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียนในภาคปลายและเป็นเรื่องที่เริ่มเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่สอง เพื่อสร้างเครื่องมือในการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย 1. แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ที่ผ่านการตรวจแก้ไขจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน และนำไปทดลองใช้แล้ว จำนวน 2 ฉบับๆ ละ 20 ข้อ โดยในเรื่องเศษส่วนมีค่าความยาก .32 - .80 อำนาจจำแนก .27 - .60 และสัมประสิทธิ์ของความเที่ยง .78 และในเรื่องรูปเรขาคณิตมีค่าความอยาก .28 - .80 อำนาจจำแนก .23 - .60 และสัมประสิทธิ์ของความเที่ยง .85 2. แผนการสอนที่สอนด้วยวิธีสอนแบบอุปมานและแบบอนุมาน จำนวน 14 แผ่น ตัวอย่างประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สองปีการศึกษา 2525 ของโรงเรียนวัดสามัคคีสุทธาวาส และโรงเรียนวัดบางพลัด เขต บางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร จำนวน 60 คน โดยจับฉลากได้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สอง โรงเรียนวัดสามัคคีสุทธาวาส จำนวน 30 คน ได้รับการสอนแบบอุปมาน และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สอง โรงเรียนวัดบางพลัด จำนวน 30 คน ได้รับการสอนแบบอนุมาน ผู้วิจัยดำเนินการสอนเองทั้ง 2 กลุ่ม ใช้เวลาในการสอนกลุ่มละ 42 คาบ (คาบละ 20 นาที) ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยการทดสอบค่าที ที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วนของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอุปมานและกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอนุมานแตกต่างกัน ที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน นักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอนุมานมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอุปมาน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องรูปเรขาคณิต ของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอุปมานและกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอนุมานแตกต่างกัน ที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน นักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอนุมาน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอุปมาน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วนและรูปเรขาคณิต ของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอุปมานและกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอนุมานแตกต่างกัน ที่ระดับความมีนัยสำคัญ .05 เป็นไปตามสมมติฐาน นักเรียนกลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอนุมานมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการสอนแบบอุปมาน

Share

COinS