Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางชีวเคมีกับการเจริญ ของเนื้องอก

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Correlation of certain biochemical changes with tumour growth

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

ปรีดา ชัยศิริ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ชีวเคมี

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.438

Abstract

ในการศึกษาเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงแอคติวิตีของแลคเตตดีไฮโดรจีเนสรวมทั้งรูปแบบของไอโซไซม์ในเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านมเปรียบเทียบกับในเนื้อเยื่อเต้านมปกติและเนื้องอกเต้านม ปรากฎว่าแอคติวิตีของเอ็นไซม์นี้ในเนื้อเยื่อทั้งสามชนิดนี้ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญอย่างไรก็ดี ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนแอคติวิตีของ LDH-4/LDH-3 หรือ LDH-5/LDH-1 ในเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านมสูงกว่าในเนื้อเยื่อเต้านมปกติและเนื้องอกเต้านม ถึงแม้ว่าจะไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทำให้เห็นแนวโน้มว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของไอโซไซม์เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านม จากการเปรียบเทียบปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะของผู้ป่วยมะเร็งและของคนปกติได้แสดงให้เห็นว่า ในปัสสาวะของผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งกระเพาะอาหาร มีปริมาณของโพลีเอมีนสูงกว่าของคนปกติอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งต่อมลูกหมากทุกรายมีสเปอร์มิดีนในปัสสาวะสูงกว่าระดับปกติ จึงน่าจะใช้สเปอร์มีดีนเป็นตัวบ่งชี้การเป็นมะเร็งเหล่านี้ในระยะแรกเริ่มได้ และการลดลงของปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก หลังการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกจากผู้ป่วยแล้วเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโพลีเอมีนที่เพิ่มขึ้นในปัสสาวะของผู้ป่วยมะเร็งนั้นมาจากเซลล์มะเร็ง ในการติดตามวัดปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะของผู้ป่วยมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งเหงือก มะเร็งต่อมทอนซิล มะเร็งที่ลิ้น มะเร็งที่คอ มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งรังไข่และมะเร็งต่อน้ำเหลือง ในระหว่างได้รับการรักษาโดยรังสีรักษาและเคมีบำบัด ปรากฎว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ตอบสนองต่อการรักษาขั้น complete response จะมีปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะสูงขึ้นหลังจากเริ่มการรักษา 1-2 สัปดาห์ และในที่สุดจะลดลงจนใกล้เคียงปกติเมื่ออาการของโรคทุเลาลง ส่วนคนไข้ที่ตอบสนองต่อการรักษาขั้น partial response จะมีปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนและแตกต่างกันในแต่ละราย ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาส่วนใหญ่มีปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าขณะที่เซลล์มะเร็งถูกทำลายด้วยยาหรือรังสี ปริมาณโพลีเอมีนในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้นภายหลังจากเริ่มการรักษาไม่นาน

Share

COinS