Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
บทบาทของบริษัทน้ำมันข้ามชาติที่มีต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The roles of multinational oil corporations in Thai oil industry
Year (A.D.)
1983
Document Type
Thesis
First Advisor
กุสุมา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
Second Advisor
วัชริยา โตสงวน
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
รัฐศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
DOI
10.58837/CHULA.THE.1983.416
Abstract
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับบรรษัทน้ำมันข้ามชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2421-2524 (ค.ศ. 1878-1981) ซึ่งพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นไปในลักษณะที่รัฐบาลไทยต้องพึ่งพิงบรรษัทน้ำมันข้ามชาติตลอดมา การศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกัน คือ ในช่วงแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2412-2475) ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายออกมาในรูปรัฐบาลไทยต้องพึ่งพิงบรรษัทข้ามชาติโดยสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลไทยถูกบังคับให้ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาไม่เสมอภาคต่างๆ ที่รัฐบาลไทยทำไว้กับนานาประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2398 (ค.ศ. 1855) เป็นต้นมา ทำให้อำนาจการต่อรองของรัฐบาลไทยในการเจรจาแก้ไขปัญหาน้ำมันต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในสภาพเสียเปรียบบรรษัทน้ำมันฯ ของชาวต่างประเทศที่มีประเทศมหาอำนาจสนับสนุน ในช่วงที่สอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475-2482 (ค.ศ. 1932-1939) ลักษณะความสัมพันธ์ออกมาในรูปรัฐบาลไทยพยายามที่จะหาทางลดสภาพพึ่งพิงบรรษัทน้ำมันข้ามชาติให้น้อยลง โดยการขายน้ำมันแข่งกับบรรษัทน้ำมัน และออกกฎหมายควบคุมการค้าน้ำมันของบรรษัทน้ำมัน ด้วยความคาดหวังว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือส่งน้ำมันมาให้แก่รัฐบาลไทย แต่ในที่สุดผลปรากฏว่า เมื่อบรรษัทน้ำมันทั้งหมดถอนกิจการออกจากประเทศไทย รัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องน้ำมันตลอดไป เมื่อสงครามในภูมิภาคนี้เกิดขึ้น ในช่วงสุดท้าย จากปี พ.ศ. 2488-2524 (ค.ศ. 1945-1981) แบ่งออกได้เป็นสองตอน ในตอนแรกช่วงปี พ.ศ. 2488-2500 (ค.ศ. 1945-1957) ลักษณะความสัมพันธ์ออกมาในรูปรัฐบาลไทยต้องหันกลับไปพึ่งพิงบรรษัทน้ำมันข้ามชาติโดยสิ้นเชิงอีกครั้งหนึ่ง เพราะรัฐบาลไทยไม่มีทางเลือกทางอื่นที่จะนำน้ำมันเข้าประเทศ นอกจากเชิญชวนบรรษัทน้ำมันกลับเข้ามาดำเนินกิจการอีกครั้ง และรัฐบาลไทยซึ่งอยู่ในฐานะผู้แพ้สงครามต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับประเทศมหาอำนาจที่สนับสนุนบรรษัทน้ำมันอยู่ อย่างไรก็ดี เมื่อผู้นำทหารของไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ได้หาทางเจรจากับบรรษัทน้ำมันฯ และประเทศมหาอำนาจ เพื่อไม่ให้ทางฝ่ายไทยต้องอยู่ในสภาพพึ่งพิงบรรษัทน้ำมันจนเกินไป ซึ่งก็ประสพผลสำเร็จเพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ยอมผ่อนปรนในเรื่องนี้ เพราะต้องการให้รัฐบาลไทยเป็นพันธมิตรในการปิดล้อมคอมมิวนิสต์ และเป็นภาคีสัญญาป้องกันร่วมกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในตอนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) เป็นต้นมา อำนาจการต่อรองของรัฐบาลไทยในความพยายามที่จะเจรจาลดการพึ่งพิงบรรษัทน้ำมันมีมากขึ้น พิจารณาได้จากการสร้างโรงกลั่นน้ำมันที่บรรษัทน้ำมันฯ ต้องเข้ามาตกลงทำสัญญากับรัฐบาลไทยภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลไทยกำหนดไว้ และความสามารถของรัฐบาลไทยกำหนดไว้ และความสามารถของรัฐบาลไทยในการสั่งน้ำมันเข้ามาใช้เองบางส่วนโดยไม่ผ่านบรรษัทน้ำมันฯ จากการศึกษาทั้งสามช่วงพบว่า สภาพพึ่งพิงที่เกิดขึ้นจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ปัจจัยแรก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศมหาอำนาจ ตราบใดสถานการณ์ระหว่างประเทศไม่อำนวยให้ไทยมีทางเลือก รัฐบาลไทยก็จะต้องพึ่งพิงบรรษัทน้ำมันโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อไรที่ผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจสอดคล้องกับผลประโยชน์ของรัฐบาลไทย ทางฝ่ายไทยก็สามารถหาประโยชน์เพื่อลดการพึ่งพิงลงได้ ปัจจัยที่สอง คือ ระบบตลาดน้ำมันของโลกและระบบตลาดน้ำมันภายในประเทศ เมื่อใดที่บรรษัทน้ำมันข้ามชาติสามารถผูกขาดตลาดน้ำมันของทั้งสองระบบไว้ได้ รัฐบาลไทยก็ต้องพึ่งพิงบรรษัทน้ำมัน ฯ โดยไม่มีทางต่อรอง ปัจจัยสุดท้าย คือ ปัจจัยทางเทคโนโลยีซึ่งถือว่าเป็นความชำนาญการชั้นสูงที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ซึ่งฝ่ายไทยยังไม่มี จึงต้องพึ่งบรรษัทน้ำมันของชาวต่างประเทศแต่ฝ่ายเดียว
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
พานิชวัฒนาเจริญ, ทวี, "บทบาทของบริษัทน้ำมันข้ามชาติที่มีต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของประเทศไทย" (1983). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 50611.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/50611