Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การแพร่กระจายข่าวสารสาธารณสุขในระดับหมู่บ้านเพื่อการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐาน : ศึกษาเฉพาะกรณีการให้ภูมิคุ้มกันโรคในเขตอำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Diffusion of public health information at the rural village level for primary health care development : a case study of immuniztion in amphoe Non Thai, Nakhon Ratchasima

Year (A.D.)

1983

Document Type

Thesis

First Advisor

ปรมะ สตะเวทิน

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การประชาสัมพันธ์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1983.307

Abstract

สุขภาพอนามัยเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยพัฒนาประชาชนให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะในวัยเด็ก ซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายมีการพัฒนาใหม่ๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคสูง จากสถิติพบว่า ในปัจจุบันโรคไข้คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และวัณโรค ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายที่จะทำการควบคุมและกำจัดโรคติดต่ออันตรายดังกล่าวให้หมดสิ้นไป ได้มีการใช้ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ตลอดจนการใช้สื่อประเภทบุคลากรสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวสาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุข ในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารสุขภาพอนามัยเรื่องการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 2. สำรวจความรู้ ทัศนคติและการยอมรับปฏิบัติ 3. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารกับการยอมรับปฏิบัติ 4. หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและสังคมกับการยอมรับปฏิบัติ โดยทำการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างซึ่งสุ่มจากมารดาในครัวเรือนชนบทที่มีบุตรอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ในอำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 250 ตัวอย่าง โดยมีสมมุติฐานว่าสื่อบุคคลมีอิทธิพลต่อการยอมรับปฏิบัติในเรื่องการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคสูงกว่าสื่อมวลชน และปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและสังคมกับพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารมีความสัมพันธ์กับการยอมรับปฏิบัติด้วย ผลการวิจัยปรากฏว่า มารดาในชนบทมีการเปิดรับข่าวสารสุขอนามัยในอัตราที่สูง ส่วนใหญ่เคยเปิดรับจากวิทยุมากเป็นอันดับหนึ่ง และบุคลากรสาธารณสุขของรัฐเป็นอันดับสอง อย่างไรก็ตามสื่อบุคคลนั้นมีอิทธิพลต่อการยอมรับวัคซีนสูงกว่าสื่อมวลชน ด้านความรู้เกี่ยวกับเรื่องการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กพบว่า มารดาในชนบทเกือบทั้งหมดไม่รู้เกี่ยวกับกำหนดการรับวัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็ก 2 ชนิด คือวัคซีนบีซีจีและดีพีที อย่างไรก็ตาม จำนวนบุตรที่เคยได้รับวัคซีนทั้งสองชนิดก็มีอัตราสูง ส่วนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารกับการยอมรับวัคซีนบีซีจีและดีพีทีพบว่า มีความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ของการเปิดรับข่าวสารเรื่องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคกับการยอมรับวัคซีนบีซีจีและดีพีที เมื่อถูกควบคุมด้วยตัวแปรการคมนาคม ความเชื่อ แต่เมื่อถูกควบคุมด้วยตัวแปรทัศนคติที่มีต่อสถานบริการสาธารณสุขของรัฐพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ของการเปิดรับข่าวสารกับการยอมรับวัคซีนทั้งสองชนิดในกลุ่มมารดาที่ไม่พอใจต่อสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ นอกจากนี้ยังพบว่า ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจคือรายได้กับปัจจัยทางด้านสังคม คือระดับการศึกษา อาชีพ (ยกเว้นอายุและสถานภาพสมรส) มีความสัมพันธ์กับการยอมรับวัคซีนบีซีจีของมารดาในชนบทและปัจจัยทางด้านสังคมคือ ระดับการศึกษา อาชีพ สถานภาพสมรส (ยกเว้นอายุ) มีความสัมพันธ์กับการยอมรับวัคซีนดีพีที ผลการศึกษาดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า การเผยแพร่ข่าวสารความรู้ในเรื่องสุขภาพอนามัยมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนามัย เรื่องการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อบุคคล (เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข) และสื่อมวลชนประเภทวิทยุกระจายเสียงมีบทบาทอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนามัยเรื่องการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประชาชนในชนบท ดังนั้น ผลจากการศึกษาครั้งนี้มีประโยชน์สำหรับเป็นแนวทางกำหนดยุทธวิธีส่งเสริมโครงการขยายงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเป็นแนวทางในการพัฒนางานสาธารณสุขมูลฐานอื่นๆ ในชนบทต่อไป

Share

COinS