Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

นิราศคำกลอนสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึง รัชกาลปัจจุบัน : การศึกษาเชิงวิเคราะห์

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Niras Khamlon in the Ratanakosin period from the reign of King Rama V to the Present King : an analytical study

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

วัชรี รมยะนันทน์

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

อักษรศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

ภาษาไทย

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.712

Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์นิราศคำกลอนสมัยรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลปัจจุบัน จำนวน 112 เรื่อง ในด้านรูปแบบคำประพันธ์เนื้อหา กลวิธีการเสนอเรื่อง และศิลปะการแต่ง ผลการวิจัยปรากฏว่านิราศคำกลอนในช่วงเวลาดังกล่าวมีรูปแบบคำ 2 ประเภทคือ กลอนล้วน กับกลอนและมีคำประพันธ์ประเภทอื่นแทรก มีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ บทนำ บทตัวเรื่อง และบทลงท้าย ส่วนที่เป็นบทนำกล่าวถึง การไหว้ครู การปูพื้นฐานทางอารมณ์ การบอกสาเหตุของการเดินทาง กำหนดเวลาเดินทาง และลักษณะการเดินทาง จุดประสงค์และมูลเหตุในการแต่ง การกล่าวถึงสถานที่แห่งแรกที่เดินทางผ่านไป การกล่าวถึงคำขวัญหรือถ้อยคำเตือนสติของผู้ใหญ่ที่ให้ไว้ก่อนเดินทาง ส่วนที่เป็นบทตัวเรื่องกล่าวถึงสิ่งที่พบเห็นระหว่างการเดินทาง อารมณ์และความรู้สึกของผู้แต่ง ทัศนะของผู้แต่ง ส่วนที่เป็นบทลงท้ายกล่าวถึงการบรรลุถึงสถานที่ที่เป็นจุดหมายปลายทาง การพบผู้เป็นที่รักเมื่อเดินทางกลับ การบอกจุดประสงค์ในการแต่งและคำชี้แจงเกี่ยวกับการแต่ง คำอวยพรแก่ผู้อ่าน และคำอธิษฐานของผู้แต่ง การเตือนใจให้ข้อคิดทั้งหมดเป็นส่วนที่ให้ความรู้ สะท้อนชีวิตในสังคม และสอนใจเกี่ยวกับสังคมและศาสนา กลวิธีการเสนอเรื่องมี 3 แบบคือ การบรรยาย การใช้คำถามคำตอบและการใช้บทสนทนาโต้ตอบ ซึ่งกลวิธีต่าง ๆนี้ทำให้นิราศคำกลอนนี้น่าสนใจชวนให้ติดตาม ศิลปะการแต่งนิราศคำกลอนในช่วงที่วิเคราะห์ทั้งในด้านโวหารและการใช้ภาษา มีส่วนช่วยในการสื่อความคิดและสร้างภาพธรรมชาติที่งดงามและทำให้เกิดความไพเราะ ผลของการเปรียบเทียบนิราศคำกลอนที่แต่งก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กับนิราศคำกลอนที่แต่งตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบัน สรุปได้ว่ามีส่วนที่เหมือนกันและต่างกันคือ ในด้านแนวการตั้ง มีแนวการแต่งที่เหมือนกันอยู่ 5 แนวคือ แนวที่แสดงความในใจของผู้แต่ง แนวบันทึกการเดินทางแนวจากวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ แนวที่มาจากการฝันรำพึง แนวจากการผสมระหว่างการคร่ำครวญกับการสมมติว่าเดินทางจากผู้เป็นที่รักไป แนวการแต่งที่ต่างกันมี 2 แนวคือ แนวที่แสดงทัศนะที่มีต่อสังคมและแนวการล้อลักษณะการใช้สำนวนภาษาวรรณกรรมเรื่องอื่น ในด้านส่วนประกอบของเนื้อหา มีส่วนประกอบของเนื้อหาในบทนำและบทลงท้ายเหมือนกัน ส่วนประกอบของเนื้อหาในบทตัวเรื่องต่างกัน ในด้านศิลปะการแต่งมีโวหารและการใช้ภาษาที่ใช้วิธีในแนวที่เหมือนกัน ต่างกันในด้านรายละเอียดในการพรรณนา นิราศคำกลอนที่แต่งก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เก็บรายละเอียดในการพรรณนาชมธรรมชาติได้มากกว่านิราศคำกลอนในสมัยที่วิเคราะห์นี้ ในด้านแก่นเรื่องและกลวิธีการเสนอเรื่อง แก่นเรื่องของนิราศคำกลอนบางเรื่องเหมือนกันคือใช้การคร่ำครวญเป็นแก่นเรื่อง บางเรื่องต่างกันคือใช้การบันทึกการเดินทางเป็นแก่นเรื่อง กลวิธีการเสนอเรื่องที่เหมือนกันคือการบรรยายกับการใช้บทสนทนา กลวิธีการเสนอเรื่องที่ต่างกันคือการใช้คำถาม – คำตอบ ซึ่งนิราศในช่วงที่วิเคราะห์นี้มีใช้เพิ่มขึ้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในการเปรียบเทียบคือ นิราศคำกลอนสมัยที่วิเคราะห์นี้ได้แสดงทัศนะและเนื้อหาในทำนองวิพากษ์วิจารณ์สังคมมากขึ้นกว่านิราศคำกลอนในสมัยก่อน ๆ ในการศึกษาวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ ผู้วิจัยใคร่จะขอเสนอให้มีการศึกษานิราศประเภทอื่น เช่น นิราศคำฉันท์ หรือ นิราศที่แต่งเป็นร้อยแก้วเพื่อจะได้ศึกษาและสังเกตุเห็นแนวโน้มในการแต่งนิราศในสมัยต่อมาได้

Share

COinS