Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนตัวบางประการ กับเจตคติต่อการเป็นศึกษานิเทศก์ของศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Relationships between some personal attributes and attitude towards supervisory profession conceived by supervisors of General Education Department

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

วไลรัตน์ บุญสวัสดิ์

Second Advisor

บุญมี เณรยอด

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

บริหารการศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.122

Abstract

วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนตัวบางประการ กับ เจตคติต่อการเป็นศึกษานิเทศก์ของศึกษานิเทศก์กรมสามัญศึกษา วิธีดำเนินการวิจัย กลุ่มตัวอย่างประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา ทั่วประ เทศ ได้ขนาดของกกลุ่มตัวอย่างจากตารางขนาดกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นตัวแทนในการวิจัย ครั้งนี้รวม 226 คน และได้รับการคัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างกระจายตามอัตราส่วนของจำนวน ประชากรแต่ละหน่วย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบวัดเจตคติต่อการ เป็นศึกษานิเทศก์ ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นในรูปลักษณะของ ซิแมนติค ดิฟเฟอเรนเชียล สเกล (Semantic Differential Scale)โดยให้ครอบคลุมลักษณะส่วนตัวที่ศึกษาได้แก่ เพศ สถานภาพสมรส อายุ วุฒิการศึกษา ระยะเวลาที่รับราชการ ระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ระดับ เงินเดือน และสายงานที่ปฏิบัติ จากแบบวัดเจตคติๆ ที่ส่งไปทั้งสิ้น 226 ฉบับ ได้รับคืนมา 190 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 84.07 การวิ เคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยหาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะส่วนตัวกับเจตคติ ต่อการเป็นศึกษานิเทศก์ โดยใช้ค่าที เทสท์ (t-test) เอฟเทท์ (F-test) และทดสอบความแตกต่างโดยวิฌีของเชฟเฟ (Scheffée) สรุปผลการวิจัย 1) ค่าเฉลี่ย เจตคติของศึกษานิเทฺศก์ เพศชายสูงกว่าของ เพศหญิง และ เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของเจตคติโดยใช้ค่า t ปรากฏว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าเฉลี่ยเจตคติของศึกษานิเทศก์ที่เป็นโสดสูงกว่าผู้ที่สมรสแล้ว และ เมื่อวิเคราะห์ ความแตกต่างระหว่างค่า เฉลี่ยของเจตคติโดยใช้ค่า t ปรากฏว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัย สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ค่าเฉลี่ยเจตคติของศึกษานิเทศก์ที่มีช่วงอายุสูงกว่า 50 ปี สูงที่สุด รองลงมา ได้แก่ศึกษานิเทศก์ที่ช่วงอายุ 20-30 ปี และเมื่อวิเคราะห์ความแตกค่าระหว่างค่าเฉลี่ยของ เจตคติโดยใช้ค่า F ปรากฏ ว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ค่าเฉลี่ย เจตคติของศึกษานิเทศก์ที่มีวุฒิการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี สูงกว่า ระดับปริญญาตรี และ เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ เจตคติโดยใช้ค่า t ปรากฏว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5) ค่าเฉลี่ยเจตคติของศึกษานิเทศก์ที่มีระยะ เวลาที่รับราชการ ระหว่าง 5-15 ปี สูงกว่าช่วงเวลารับราชการสูงกว่า 15 ปี และ เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ย ของเจตคติโดยใช้ค่า t ปรากฏว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 6) ค่าเฉลี่ยเจตคติของศึกษานิเทศก์ที่มีระยะ เวลาที่ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ระหว่าง 1-10 ปี สูงกว่าระยะเวลาที่สูงกว่า 10 ปี และเมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่าง ค่าเฉลี่ยของเจตคติโดยใช้ค่า t ปรากฏว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 7) ค่าเฉลี่ยเจตคติของศึกษานิเทศก์ที่มีระดับ เงิน เดือน 3000-5000 บาทสูงที่สุดรองลงมาได้แก่ ผู้ที่มีระดับ เงิน เดือนสูงกว่า 7000 บาท และ เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่าง ระหว่างค่า เฉลี่ยของ เจตคติโดยใช้ค่า F ปรากฏว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 8) ค่าเฉลี่ยเจตคติของศึกษานิเทศก์ที่สังกัดฝ่ายนิเทศการสอนสูงชุดรองลงมา ได้แก่ฝ่ายวิจัยและบริการการศึกษา และ เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยโดยใช้ค่า F ปรากฏว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

Share

COinS