Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
อิทธิพลของสภาพครอบครัวที่มีต่อการอ่าน ของเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนสายน้ำทิพย์
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The influence of family condition on reading of grade 4 students, Sai Namtip School
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
กล่อมจิตต์ พลายเวช
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
อักษรศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.674
Abstract
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาถึงอิทธิพลของสภาพครอบครัวที่มีต่อการอ่านของเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนสายน้ำทิพย์ โดยศึกษาการอ่านของเด็กนักเรียนตามตัวแปรต่าง ๆ คือ อาชีพของผู้ปกครองและระดับการศึกษา สถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง การเห็นความสำคัญของการอ่านของผู้ปกครอง ความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อการอ่านของเด็กนักเรียน จำนวนบุตรของผู้ปกครอง ตลอดจนศึกษากิจกรรมที่ผู้ปกครองส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่นักเรียนต้องการให้บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียนจัด ความช่วยเหลือในการอ่านที่นักเรียนส่วนใหญ่ต้องการ และประโยชน์ที่เด็กนักเรียนคิดว่าได้รับจากการอ่าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ เด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 ปีการศึกษา 2526 ของโรงเรียนสายน้ำทิพย์ จำนวน 140 คน และผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ชั้นประถมปีที่ 4 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 140 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การแจกแจงค่าร้อยละ การทดสอบความสัมพันธ์ใช้ไค-สแควร์ (Chi-Square Test) ผลการวิจัยพบว่าระดับการศึกษา อาชีพและสถานภาพทางเศรษฐกิจของผู้ปกครองมีความสัมพันธ์กับการอ่านของเด็กนักเรียนในด้านจำนวนหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนที่นักเรียนมีอยู่ที่บ้านอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 สำหรับการเห็นความสำคัญของการอ่านของผู้ปกครองไม่มีวามสัมพันธ์กับการอ่านของเด็กนักเรียนที่ระดับนัยสำคัญ .01 ความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อการอ่านของเด็กนักเรียนมีความสัมพันธ์กับการอ่านของเด็กนักเรียนในด้านประเภทของหนังสือที่นักเรียนชอบอ่าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 จำนวนบุตรของผู้ปกครองไม่มีวามสัมพันธ์กับการอ่านของเด็กนักเรียนที่ระดับนัยสำคัญ .01 ผลการศึกษาถึงการอ่านของเด็กนักเรียนในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 43.57 มีหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนอยู่ที่บ้าน 1-20 เล่ม รองลงมาคือ นักเรียนจำนวนร้อยละ 20.71 มีหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนอยู่ที่บ้าน 21-40 เล่ม ประเภทของหนังสือที่นักเรียนชอบอ่าน นักเรียนชอบอ่านการ์ตูนมากที่สุดร้อยละ 28.57 รองลงมาได้แก่นิทานร้อยละ 23.58 สารคดีประวัติศาสตร์ร้อยละ 14.29 สารคดีวิทยาศาสตร์ร้อยละ 10.00 จำนวนเวลาที่นักเรียนอ่านหนังสือต่อวันพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 37.86 ใช้เวลาอ่านหนังสือไม่แน่นอนในแต่ละวัน นอกนั้นมีนักเรียนประมาณร้อยละ 14.29-17.85 ใช้เวลาอ่านหนังสือวันละ 15 นาทีถึงมากกว่า 60 นาที สำหรับแหล่งที่นักเรียนได้หนังสือที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนอ่านพบว่า นักเรียนได้อ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนจากที่บ้านจำนวนมากที่สุดร้อยละ 61.43 รองลงมาได้จากห้องสมุดโรงเรียนร้อยละ 22.14 ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยได้อ่านหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือแบบเรียนนั้นไม่มีกิจกรรมที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็กของตน คือให้เงินซื้อหนังสืออ่าน คิดเป็นร้อยละ 24.28 รองลงมาคือ ซื้อหนังสือพิมพ์ให้อ่าน คิดเป็นร้อยละ 23.57 สำหรับผู้ปกครองที่ไม่เคยส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็กของตนคือ ผู้ปกครองที่มีอาชีพรับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 1.42 กิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่เด็กนักเรียนต้องการให้บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน จัดมากที่สุด คือ จัดการแข่งขันตอบคำถามจากหนังสือ คิดเป็นร้อยละ 37.14 รองลงมาคือ จัดให้มีชมรมห้องสมุด คิดเป็นร้อยละ 22.86 สิ่งที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ต้องการความช่วยเหลือในการอ่านมากที่สุด คือ การอธิบายความหมาย คิดเป็นร้อยละ 42.86 รองลงมาคือการสะกดตัวอักษร คิดเป็นร้อยละ 25.00 ประโยชน์ที่เด็กนักเรียนส่วนใหญ่คิดว่าได้รับจากการอ่านหนังสือคือ ได้ค้นคว้าหาความรู้ที่ต้องการ คิดเป็นร้อยละ 37.86 รองลงมาคือ เพิ่มความรอบรู้ คิดเป็นร้อยละ 34.28 ข้อเสนอแนะ 1. ผลจากการวิจัยพบว่ามีผู้ปกครองอาชีพค้าขายและอาชีพรับจ้าง จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็กของตนน้อยกว่าผู้ปกครองอาชีพใช้วิชาชีพ ฉะนั้นสถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบในการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือ ควรได้จัดพิมพ์กิจกรรมใหม่ ๆ ที่ส่งเสริมการอ่านเผยแพร่ไปตามโรงเรียนและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ปกครองของนักเรียนได้มีโอกาสอ่านและใช้เป็นคู่มือในการส่งเสริมหรือนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กของตน 2. ผู้ปกครองควรมีบทบาทในการเอาใจใส่และดูแลการเรียนการอ่านและการสร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กของตน ด้วยการให้คำปรึกษา ช่วยแก้ปัญหา และส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมที่เสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน 3. ครูและบรรณารักษ์ของโรงเรียนควรร่วมมือในด้านการสอนและการศึกษาถึงปัจจัยจากทางโรงเรียนที่มีอิทธิพลต่อการอ่านของเด็ก และสำหรับบรรณารักษ์สามารถมีบทบาทได้มากยิ่งขึ้นด้วยการจัดกิจกรรมต่าง ภายในห้องสมุดโรงเรียนตามความสนใจของเด็กหรือตามที่บรรณารักษ์เห็นว่าจะมีประโยชน์แก่เด็กมากที่สุด
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ชินสมบูรณ์, สหัทยา, "อิทธิพลของสภาพครอบครัวที่มีต่อการอ่าน ของเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 4 โรงเรียนสายน้ำทิพย์" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48392.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48392