Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
กระบวนการระงับข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมาย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Procedure for the settlement labour dispute
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
สุดาศิริ เฮงพูลธนา
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
นิติศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
นิติศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.396
Abstract
เป็นที่ยอมรับว่า ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยทั่วไป การใช้สิทธิยื่นข้อเรียกร้องขอทำ หรือแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างของฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง เป็นสิ่งที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมาย และรัฐมีหน้าที่บัญญัติกฎหมาย ให้การรับรอง และคุ้มครองสิทธิดังกล่าว ตลอดจนวางมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้มีการใช้สิทธิดังกล่าวให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม นอกจากนี้รัฐยังมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการกำหนดกระบวนการเพื่อป้องกันและระงับข้อพิพาทแรงงาน ให้ยุติลงในเวลาอันสมควรด้วย ประเทศไทยได้มีพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 บัญญัติขึ้นเพื่อรับรองและคุ้มครองสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองเพื่อขอทำหรือแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2499 และได้บัญญัติแนวทางและขั้นตอนเพื่อระงับพิพาทแรงงานไว้ด้วย หลังจากนั้นได้มีการแก้ไขปรับปรุงแนวทางและขั้นตอน เพื่อระงับข้อพิพาทแรงงานเรื่อยมาจนกระทั่งได้มีการตราพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่ใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน การที่ประเทศไทยเปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ตัดสินใจทำสัญญากำหนดและแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกันเองอย่างเสรี เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย และระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมนั้น ก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติในแต่ละขั้นตอนของการยื่นข้อเรียกร้องและการร่วมเจรจาต่อรอง ตลอดจนถึงกระบวนการเพื่อระงับข้อพิพาทแรงงานโดยใช้ขั้นตอน และองค์กรของรัฐเป็นอันมาก ทั้งนี้ เนื่องมาจากประเทศไทยมีการพัฒนาการด้านแรงงานสัมพันธ์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น ดังนั้น ความเข้าใจของนายจ้างและลูกจ้างที่มีต่อหลักการของการร่วมเจรจาต่อรอง การร่วมมือยื่นข้อเรียกร้องของลูกจ้าง การยอมรับของนายจ้างต่อองค์กรของลูกจ้างจึงมีจำกัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสาระที่ทำให้การใช้การร่วมเจรจาต่อรองเพื่อทำหรือแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร ฉะนั้น การที่รัฐให้สิทธิเสรีภาพแก่ฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างให้สามารถยื่นข้อเรียกร้องและร่วมเจรจาต่อรองกันอย่างเสรีโดยปราศจากการให้ความช่วยเหลือด้านการจัดรูปของการปฏิบัติการในการร่วมเจรจาต่อรองและใช้สิทธิในทางการแรงงานสัมพันธ์อย่างพอเพียง จึงอาจเป็นผลร้ายต่อการพัฒนาการด้านการแรงงานสัมพันธ์ของชาติได้ ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาในด้านนี้จำนวนมาก อาทิ การที่ลูกจ้างจำนวนน้อยร่วมกันใช้สิทธิยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอทำหรือแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ย่อมไม่ก่อให้เกิดอำนาจต่อรองเพียงพอที่จะทำให้นายจ้างให้ความสนใจยอมให้ หรือยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องนั้นๆ จึงมักก่อให้เกิดการปฏิบัติเพื่อต่อสู้กับฝ่ายนายจ้างที่นอกเหนือจากวิธีการที่กฎหมายบัญญัติให้ปฏิบัติเพื่อยุติข้อพิพาท เช่น การใช้สิทธินัดหยุดงานโดยฝ่าฝืนกฎหมายหรือการรวมกลุ่มเดินทางไปพบฝ่ายปกครองเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่ใช่วิธีการเพื่อการระงับข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมายแต่อย่างใด แต่กลับแสดงให้เห็นถึงการยังไม่พัฒนาการของอำนาจต่อรองของฝ่ายลูกจ้าง และเป็นการแสดงถึงความไม่ประสบผลสำเร็จในการใช้มาตรการเพื่อการระงับข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมายด้วย ฉะนั้น รัฐควรกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านการใช้สิทธิทางแรงงานสัมพันธ์ อาทิ การยื่นข้อเรียกร้อง การใช้สิทธินัดหยุดงาน หรือการใช้สิทธิปิดงานให้ดำเนินไปภายในขอบเขต อยู่ในกรอบของเหตุผลและความถูกต้อง โดยจัดให้มีพนักงานของรัฐเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือและตรวจสอบความถูกต้องในฐานะพี่เลี้ยง ซึ่งจะทำให้ฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างได้เรียนรู้ถึงการใช้สิทธิด้านแรงงานสัมพันธ์โดยอ้อม และในทางที่ถูกต้องตลอดจนจะสามารถลดการใช้ความรุนแรงทางแรงงานสัมพันธ์ลงด้วย ขณะเดียวดันการที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้กำหนดให้มีกระบวนกระระงับข้อพิพาทแรงงานโดยวิธีชี้ขาดโดยบังคับของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ เพื่อยุติข้อพืพาทแรงงานที่สำคัญอันอาจกระทบกระเทือนต่อสาธารณชนนั้น กระบวนการดังกล่าวได้สร้างความเชื่อมถือศรัทธาต่อประชาชนทั่วไปเพียงพอหรือไม่ เป็นสิ่งที่รัฐควรได้มีการพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจรัฐเข้าบังคับและจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล รัฐควรให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณีที่ถูกบังคับชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานอย่างเพียงพอด้วย ฉะนั้นในภาครัฐบาลรัฐควรปรับปรุงการทำงานของคณะกรรมการแรงงงานสัมพันธ์ ซ่งใช้มาตรการชี้ขาดโดยบังคับเพื่อให้ผลของคำชี้ขาดได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากคู่กรณีและประชาชนทั่วไป เป็นผลให้คู่กรณียอมรับในผลของคำชี้ขาดและไม่นำผลของคำชี้ขาดมาฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน ซึ่งจะเป็นการพิจารณาคดีซ้ำซ้อนอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้น วิทยานิพนธ์จึงมุ่งศึกษาถึงขั้นตอนและวิธีการการระงับข้อพิพาทแรงงาน โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการยื่นข้อเรียกร้องขอทำหรือแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง การร่วมเจรจาต่อรอง ตลอดจนถึงวิธีการเพื่อระงับข้อพิพาทแรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เป็นหลัก เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละจุดของกระบวนการร่วมเจรจาต่อรองและกระบวนการระงับข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมาย และเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อันจะยังประโยชน์ต่อการพัฒนาการระบบการแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งผลไปถึงความสงบสุขในอุตสาหกรรมของประเทศต่อไป
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
วัชรางค์กุล, วรพจน์, "กระบวนการระงับข้อพิพาทแรงงานตามกฎหมาย" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48356.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48356
ISBN
9745644498