Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในคดีอาญาของไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

A variance between and allegation of the charge and the proof in Thai criminal case

Year (A.D.)

1985

Document Type

Thesis

First Advisor

คณิต ณ นคร

Second Advisor

อภิรัตน์ เพ็ชรศิริ

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1985.388

Abstract

ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องว่า “ถ้าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างจากที่ระบุในฟ้อง ให้ศาลยกฟ้อง เว้นแต่มิใช้แตกต่างในสาระสำคัญและจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลจะลงโทษตามพิจารณาได้ความก็ได้" ปัญหาเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในคดีอาญาของไทยดังกล่าว มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือ ปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในสาระสำคัญหรือไม่ และประการที่สองคือ ปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในฐานะความผิด ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกับปัญหาในการดำเนินวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศกลุ่มคอมมอนลอว์ เช่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา แต่แตกต่างจากประเทศกลุ่มซีวิลลอว์เช่นประเทศเยอรมัน ซึ่งไม่มีปัญหาในประการที่สองคงมีแต่ปัญหาประการแรกเท่านั้น การแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในคดีอาญาของไทย ได้แก้ไขโดยในปัญหาประการแรก ได้ระบุยกตัวอย่างข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องที่แตกต่างในรายละเอียด เช่นเวลาหรือสถานที่กระทำความผิด ส่วนปัญหาประการที่สอง ได้แก้ไขโดยกำหนดให้ความผิดฐานลักทรัพย์ กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก รับของโจร และความผิดที่ทำโดยเจตนากับประมาท มิให้ถือว่าแตกต่างกันในสาระสำคัญ ถ้าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ก็สามารถลงโทษจำเลยได้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นการแก้ไขที่ไม่ตรงต่อปัญหา ต่อให้เกิดผลเสียในด้านหลักประกันสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลย ปัญหาที่แท้จริงต่างกับฟ้องคดีอาญาของไทย อาจแยกพิจารณาเป็น 2 ประการใหญ่ๆ คือ 1. ในส่วนข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในสาระสำคัญหรือไม่ จะมีปัญหาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องที่แตกต่างในสาระสำคัญหรือไม่ อย่างไรจึงถือว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ตลอดจนปัญหาเกี่ยวกับความเคร่งครัดของศาลในการที่กำหนดว่าเป็นข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในสาระสำคัญหรือไม่ 2. ในส่วนข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในฐานความผิด เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการบรรยายฟ้อง โดยเฉพาะในกรณีความผิดที่คาบเกี่ยวกัน และข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางสอบสวน ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายฐานใด เมื่อโจทก์ตัดสินใจฟ้องจำเลยในความผิดฐานหนึ่งฐานใดลงไปก็อาจเกิดปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในฐานความผิดเมื่อ โจทก์ตัดสินใจฟ้องจำเลยผิดฐานไป ผู้เขียนเห็นว่า การแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในคดีอาญาของไทยดังกล่าวอาจแก้ไขโดย ในปัญหาประการแรก เมื่อได้วิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์และแนวความคิดของประเทศกลุ่มคอมมอนลอว์อันได้แก่ อังกฤษและสหรัฐอเมริกา และของประเทศกลุ่มซีวิลลอว์อันได้แก่เยอรมัน เห็นว่า อาจวางหลักเกณฑ์ที่จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในสาระสำคัญหรือไม่ ตามหลัก geschichlicher Vorgang ทำนองเดียวกับประเทศเยอรมัน ส่วนคำว่า “จำเลยมิได้หลงต่อสู้" ควรพิจารณาในแง่การเสียเปรียบหรือโอกาสในการต่อสู้คดีของจำเลยด้วย สำหรับปัญหาความเคร่งครัดในการใช้ดุลพินิจของศาลนั้น อาจแก้ไขโดยเน้นให้สารนำเอาแนวความคิดเกี่ยวกับการค้นหาความจริงในคดีอาญาของประเทศกลุ่มซีวิลลอว์ มาใช้ประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งจะเป็นผลให้ความเคร่งครัดดังกล่าวผ่อนคลายลงได้ ในปัญหาประการที่สอง ควรแก้ไขให้มีการบรรยายฟ้องในลักษณะการกระทำความผิด โดยระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ่างว่าจำเลยได้กระทำผิด และระบุฐานความผิดตามที่ได้เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในกรณีที่ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายฐานใดแน่ โจทก์อาจจะระบุฐานความผิดในลักษณะให้ศาลเลือกลงโทษตามฐานความผิดที่ถูกต้อง ผู้เขียนเห็นว่า การแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในลักษณะดังกล่าวนี้ จะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องในคดีอาญาของไทย ที่ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งทำได้อยู่แล้วตามมาตรา 192 ป.วิอาญา ก่อนที่จะได้มีการแก้ไขดังเช่นปัจจุบัน ทั้งนี้จะเกิดให้เกิดผลดีในด้านหลักประกันสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยและสามารถลงโทษผู้กระทำผิด โดยไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดหลุดพ้นไปโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย

Share

COinS