Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
พฤติกรรมจริยธรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมือง ตามคำรายงานของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Political moral behaviors and behavior tendency as reported by pupils, teachers and parents
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
ชัยพร วิชชาวุธ
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
จิตวิทยา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.85
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพที่เป็นอยู่เกี่ยวกับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองตามคำรายงานของนักเรียน ครู และผู้ปกครองว่า (1) เคยทำบ่อยมากน้อยเพียงใด (2) มีแนวโน้มจะทำมากน้อยเพียงใด (3) เคยเห็นคนอื่นทำบ่อยเพียงใด (4) คิดว่าคนอื่นมีแนวโน้มจะทำมากน้อยเพียงใดตามตัวแปรต้น 6 ตัวแปร คือ เพศ ศาสนา สถานภาพ ภูมิภาค สภาพความเป็นเมือง และอาชีพหลักของครอบครัว กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ครูและผู้ปกครองจากกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวนรวมทั้งสิ้น 2,835 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง และแบบสำรวจ ซึ่งมีการกระทำพฤติกรรมทางการเมือง 18 ข้อ และแต่ละข้อมีคำถาม 4 คำถามดังกล่าวข้างต้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ ผลการวิจัยพบว่า 1. พฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดรายงานว่าเคยทำบ่อย ๆ มี 1 พฤติกรรมคือ การปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นพฤติกรรมด้านบวก ส่วนพฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างรายงานว่าไม่เคยทำมีทั้งสิ้น 14 พฤติกรรม แบ่งเป็นด้านบวก 5 พฤติกรรมคือ การสละเพื่อส่วนร่วม การมีส่วนร่วมทางการเมือง การยอมปฏิบัติตามกฏหมายบ้านเมือง การต่อต้านกฏหมายที่ไม่ชอบธรรม การเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และด้านลบ 9 พฤติกรรม (ซึ่งเป็นพฤติกรรมด้านลบทั้งหมดในแบบสำรวจนี้) คือ อคติในการปฏิบัติต่อบุคคลต่าง ๆ การปกครองด้วยความรุนแรง การใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ การให้และการใช้อภิสิทธิ์ การรับสินบน การแจ้งความเท็จ การให้สินบน การปิดบังผู้กระทำผิดกฏหมาย และการทุจริตในการเลือกตั้ง 2. พฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดรายงานว่าจะทำแน่ ๆ ถ้ามีโอกาส มี 5 พฤติกรรมซึ่งเป็นพฤติกรรมด้านบวกทั้งสิ้น เรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อยคือ การปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัด การสละเพื่อส่วนรวม การสละสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การจัดสวัสดิการแก่ผู้ด้อยโอกาส และการเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ส่วนพฤติกรรมที่จะไม่ทำคือพฤติกรรมด้านลบทั้งหมด 3. พฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดรายงานว่าเคยเห็นคนอื่นทำบ่อย ๆ มี 1 พฤติกรรม คือ การปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัด ส่วนพฤติกรรมที่ไม่เคยเห็นคนอื่นทำมี 3 พฤติกรรมคือ การแจ้งความเท็จ การทุจริตในการเลือกตั้ง และการปิดบังผู้กระทำผิดกฏหมาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมด้านลบทั้งสิ้น 4. พฤติกรรมที่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดพยากรณ์ว่าคนอื่นจะทำแน่ ๆ ถ้ามีโอกาส มี 1 พฤติกรรม คือ การปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนอย่างเคร่งครัด และไม่มีพฤติกรรมใดเลยที่กลุ่มตัวอย่างคาดว่าคนอื่นจะไม่ทำถ้ามีโอกาส 5. ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองมากที่สุดคือ สถานภาพ รองลงมาได้แก่ เพศ และอาชีพหลักของครอบครัว ส่วนตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมดังกล่าวคือ ศาสนา 6. ผู้หญิงและผู้ชายมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P ≤ .05) และ โดยส่วนรวมพบว่าผู้ชายมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองทั้งด้านบวกและด้านลบมากกว่าผู้หญิง 7. ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 8. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มัธยมปีที่ 3 มัธยมศึกษาปีที่ 5 ครูและผู้ปกครองมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P ≤ .05) และโดยส่วนรวมพบว่าครูมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองด้านบวกมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรทจริยธรรมทางการเมืองด้านลบมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองทั้งด้านบวกและลบน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ 9. ผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P ≤ .05) และพบว่าโดยส่วนรวมคนในภาคเหนือมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมด้านบวกมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในขณะที่คนในกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมด้านลบมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ 10. ผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานครส่วนใน กรุงเทพมหานครส่วนนอก อำเภอเมือง และ อำเภอชนบท มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P ≤ .05) และพบว่าโดยส่วนรวมคนในกรุงเทพมหานครส่วนในมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมทั้งด้านบวกและด้านลบมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในขณะที่คนในอำเภอชนชทมีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมทั้ง 2 ด้านนี้น้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ11. ผู้ที่มีอาชีพหลักของครอบครัวรับราชการ ผู้ใช้แรงงาน ธุรกิจการค้า และลูกจ้างเอกชน มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมืองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (P ≤ .05) และพบว่าโดยส่วนรวมผู้ที่อยู่ในครอบครัวอาชีพรับราชการ มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมด้านบวกมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในขณะที่มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมด้านลบน้อบกว่ากลุ่มอื่น ๆ ส่วนผู้ที่อยู่ในครอบครัวอาชีพหลักเป็นผู้ใช้แรงงาน มีพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมด้านบวกน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ และมีพฤติกรรมด้านลบมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในครอบครัวอาชีพธุรกิจการค้ามีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมด้านลบมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
เนาวลักษณ์, วีณา, "พฤติกรรมจริยธรรมและแนวโน้มพฤติกรรมจริยธรรมทางการเมือง ตามคำรายงานของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48309.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48309