Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
บทบาทของตลาดซื้อคืนในการบริหารเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์ไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Role of repurchase market in the short-term fund management of Thai commercial banks
Year (A.D.)
1986
Document Type
Thesis
First Advisor
กมเลศน์ สันติเวชชกุล
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
บริหารธุรกิจ
DOI
10.58837/CHULA.THE.1986.446
Abstract
การบริหารงานธนาคารพาณิชย์ไทยให้มีสภาพคล่องที่เพียงพอกับความต้องการใช้เงินอันได้แก่ การให้สินเชื่อและการถอนเงินฝาก และการดำรงเงินสดสำรองให้ได้ตามกฎหมาย นับว่าเป็นนโยบายบริหารธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญอันหนึ่ง ทั้งนี้ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารเงินได้หลายทางผ่านตลาดเงิน และ "ตลาดซื้อคืน" ซึ่งนับว่าเป็นตลาดเงินที่สำคัญสำหรับธนาคารพาณิชย์ในการบริหารเงินระยะสั้นให้เกิดสภาพคล่องตามต้องการ ตลาดซื้อคืนจัดตั้งขึ้นโดยธนาคารแห่ประเทศไทย เมื่อเดือนเมษยน 2522 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อช่วยธนาคารพาณิชย์ในการปรับสภาพคล่องส่วนเกินหรือส่วนขนาด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตลาดซื้อคืนจัดตั้งขึ้นเพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการช่วยบริหารเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพคล่องที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา กล่าวคือ เมื่อธนาคารพาณิชย์อยู่ในสภาพคล่องสูง (มีเงินเหลือ) ธนาคารก็จะเข้าร่วมในตลาดซื้อคืนในฐานะผู้ซื้อด้วยการโทรศัพท์ไปยังตลาดซื้อคืน เพื่อแจ้งความจำนงว่าต้องการซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาว่าจะขายคืนจำนวนเท่าใด ระยะเวลาใด (1 วัน 3 วัน 15 วัน...) อัตราผลตอบแทนเท่าใด และเข้าดำเนินการในฐานะผู้ขายโดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน เมื่อธนาคารอยู่ในสภาพคล่องต่ำ (ธนาคารขาดเงิน) ซึ่งถ้าความต้องการซื้อกับความต้องการขายตรงกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ค้าหลักทรัพย์ (dealer) ก็จะจัดการดำเนินการเพื่อให้เกิดการซื้อขายกันขึ้น จากสัดส่วนการเข้าร่วมในตลาดซื้อคืนของธนาคารพาณิชย์ที่สูงขึ้นทุกปีทั้งทางด้านผู้ซื้อและผู้ขาย ดังจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบการเข้าร่วมของธนาคารพาณิชย์ในตลาดซื้อคืนกับตลาดเงินกู้ระหว่างธนาคาร ซึ่งพบว่า ธนาคารฯ มีการเข้าร่วมในตลาดเงินกู้ระหว่างธนาคารคิดเป็นร้อยละ 90.22 ของตลาดซื้อคืนในปี 2527 และร้อยละ 87.69 ของตลาดซื้อคืนในครึ่งปีแรกของปี 2528 แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์ได้เห็นถึงความสำคัญขจองตลาดซื้อคืนในฐานะที่เป็นแหล่งในการบริหารเงินระยะสั้นแหล่งหนึ่งของธนาคารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนกับสภาพคล่องของระบบธนาคาร และความสัมพันธ์ของปริมาณการซื้อขายสุทธิของธนาคารพาณิชย์ในตลาดซื้อคืนกับสภาพคล่องของระบบธนาคารเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ตลาดซื้อคืนได้มีบทบาทในการบริหารเงินระยะสั้นหรือบริหารสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ได้สอดคล้องกับสภาพคล่องที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาจรงิ แม้ผลการศึกษาพบว่า นับตั้งแต่ปี 2524-2527 ตลาดซื้อคืนจะยังไม่สามารถสนองตอบ ความต้องการบริหารการเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางด้านผู้ซื้อและผู้ขายก็ตาม (ถึงแม้ว่าในการพิจารณารายปีจะพบว่า ตลาดซื้อคืนสามารถตอบสนองความต้องการด้านผู้ซื้ออย่างมีประสิทธิภาพในปี 2524และตอบสนองความต้องการด้านผู้ขายอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2525 2526 และ 2527 ก็ตาม) ทั้งนี้เพราะธนาคารพาณิชย์มักจะขาดเงินหรือเหลือเงินพร้อมๆ กัน และเข้าสู่ตลาดซื้อคืนในฐานะเดียวกัน ประกอบกับตลาดซื้อคืนมีขนาดจำกัดจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างเต็มที่ทั้งสองด้านพร้อมๆ กัน สำหรับในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืน (Repo Rate) จากการศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์กับสภาพคล่องของระบบธนาคารในระดับที่สูงมาก (Correlation Coefficient = 0.8523) นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนยังมีความสัมพันธ์กับอัตราอื่น เช่น Interbank (At Call), LIBOR, PRIME RATE (MOR) ในระดับที่แตกต่างกัน ตามลักษณะเฉพาะของอัตราดอกเบี้ยแต่ละประเภท กล่าวคือ อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนมีความสัมพันธ์กับอัตรา Interbank (At Call) ด้วยค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์ (r) = 0.9354 PRIME RATE (MOR) ด้วยค่า r = 0.6396 FORWARD RATE ด้วยค่า r = 0.4368 LIBOR ด้วยค่า r = 0.7972 และ LIBOR + FORWARD (ต้นทุนการนำเงินเข้า) ด้วยค่า r = 0.8504 จากความสัมพันธ์ดังกล่าวแสดงว่า ตลาดซื้อคืนมีความเกี่ยวพันกับตลาดเงินอื่นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนการนำเงินเข้าและตลาดเงินกู้ระหว่างธนาคาร (Interbank Market) ซี่งเป็นตลาดเงินที่สำคัญอีกตลาดหนึ่งของธนาคาพาณิชย์ แต่เนื่องจากผลการศึกษาที่พบว่าตลาดซื้อคืนยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของธนาคารพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงควรมีการปรับปรุงพัฒนาตลาดซื้อคืนให้ขยายตัวมากขึ้น เพราะปัจจุบันธนาคาพาณิชย์สามารถเข้าร่วมในตลาดซื้อคืนได้เฉพาะธนาคารที่มีพันธบัตรปลอดภาวะในส่วนที่เกินกว่าร้อยละ 15 ของเงื่อนไขการเปิดสาขาที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงแม้จากการศึกษาจะพบว่า ตลาดซื้อคืนยังไม่มีประสิทธิภาพก็ตาม แต่จากการสัมภาษณ์นักการธนาคารต่างมีความพึงพอใจในการตอบสนองของตลาดซื้อคืน และยอมรับว่าตลาดซื้อคืนได้มีส่วนช่วยในการบริหารเงินระยะสั้น (บริหารสภาพคล่อง) ของธนาคารอย่างมาก ซึ่งปกติแล้วจะเป็นการปรับสภาพคล่องประจำวัน เพื่อให้สามารถมีเงินสำรองได้ตามกฎหมาย โดยธนาคารจะเข้าตลาดฯ ในช่วงบ่ายเป็นส่วนใหญ่ เพราะธนาคารจะทราบฐานะการเงินของตนในช่วงบ่าย 2 โมงไปแล้วว่าตนขาดเงินหรือเหลือเงิน และธนาคารจะเข้าร่วมตลาดฯ ประเภท 1 วัน และ 3 วันมากที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ตลาดซื้อคืนมีประสิทธิภาพในการบริหารเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น จึงควรมีการปรับปรุงและพัฒนาตลาดซื้อคืนด้วยการลดข้อจำกัดในการเข้าร่วมตลาดฯ ของธนาคารพาณิชย์ลงเพื่อขยายตลาดฯ ให้ใหญ่ขึ้น หรือทำการพัฒนาตลาดเงินประเภทอื่น เช่น ตลาด BIBOR เพื่อช่วยเสริมตลาดซื้อคืนในการบริหารเงินระยะสั้นให้แก่ระบบธนาคาพาณิชย์ไทยต่อไป
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
สุวณิชย์, สุดาพร, "บทบาทของตลาดซื้อคืนในการบริหารเงินระยะสั้นของธนาคารพาณิชย์ไทย" (1986). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 48232.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/48232