Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Unfair Dismissal

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

สุดาศิริ เฮงพูลธนา

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.424

Abstract

ในการเลิกจ้างลูกจ้างแต่ละครั้ง นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกจ้างที่ต้องถูกออกจากงานแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวของลูกจ้างนั้น และมีผลต่อสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย อีกทั้งเมื่อพิจารณาในแง่ของลูกจ้าง การที่ลูกจ้างคนหนึ่งๆ ได้ทำงานกับนายจ้างสร้างผลผลิตก่อให้เกิดกำไรกับนายจ้าง แต่เมื่อนายจ้างเกิดความไม่พอใจในตัวลูกจ้างก็กลับเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นเสีย หรือเมื่อนายจ้างประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจกลับผลักภาระมาให้ลูกจ้างต้องรับผิดชอบโดยลดจำนวนลูกจ้าง เลิกจ้างลูกจ้างเสียทำให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อนทั้งๆ ที่ลูกจ้างนั้นมิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด จากเหตุผลเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีมาตรการคุ้มครองลูกจ้างจากการถูกเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมขึ้น จากการศึกษาพบว่า ความหมายของการเลิกจ้างตามกฎหมายไทยยังมีขอบเขตที่แคบกว่ากฎหมายต่างประเทศ กล่าวคือ มิได้มีบทบัญญัติรวมถึงการที่นายจ้างกระทำการใดๆ จนเป็นเหตุให้ลูกจ้างไม่สามารถทำงานต่อไปได้และไม่มีมาตรการทางกฎหมายที่ให้ลูกจ้างสามารถตรวจสอบทราบได้อย่างชัดเจนว่า ตนถูกเลิกจ้างแล้วหรือไม่ และด้วยสาเหตุอะไร อีกทั้งเมื่อมีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างเกิดขึ้นแล้ว กฎหมายก็มิได้กำหนดระยะเวลาที่ให้นายจ้างใช้สิทธิของตนเลิกจ้างลูกจ้างผู้กระทำความผิดนั้น ทำให้ลูกจ้างไม่อาจทราบได้แน่นอน ถึงสถานะความเป็นลูกจ้างของตนและกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ถึงสาเหตุที่ลูกจ้างจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันทีอันเป็นความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างนอกจากนี้ ในส่วนของกฎหมายไทยยังไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับขั้นตอนการเลิกจ้างไว้ ซึ่งทำให้นายจ้างและลูกจ้างขาดโอกาสได้พบปะแสดงเหตุผลต่อกัน ทำความเข้าใจก่อนมีการเลิกจ้างซึ่งจะทำให้การเลิกจ้างมีเหตุสมควรมากยิ่งขึ้นเมื่อได้มีการตรากฎหมายเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไว้ ในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน ก็ได้มีการถกเถียงและมีความเห็นแยกเป็นสองฝ่ายว่า มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองลูกจ้างเพิ่มเติมขึ้นจากกฎหมายอื่นที่มีอยู่เดิม หรือเป็นเพียงบทบัญญัติกฎหมายทางด้านวิธีสบัญญัติเท่านั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า มาตรา 49 เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ ซึ่งทำให้อำนาจศาลในการพิจารณาตัดสินคดีเมื่อมีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมขึ้น โดยการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมคือ การเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งเราจะพิจารณาได้จากการแสดงเจตนาระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เหตุแห่งการเลิกจ้าง และเลิกสัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บทบัญญัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างแสดงเจตนา โดยมีข้อตกลงหรือระเบียบการทำงานที่กำหนดขั้นตอนให้นายจ้างต้องกระทำก่อนมีการเลิกจ้าง แต่นายจ้างไม่ได้ทำตามขั้นตอนเสียก่อนได้ด่วนเลิกจ้างลูกจ้างเลย ซึ่งถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ในกรณีเช่นนี้ ศาลควรจะต้องพิจารณาแยกขั้นตอนการเลิกจ้างกับเหตุแห่งการเลิกจ้างออกจากกัน โดยหากเหตุแห่งการเลิกจ้างนั้นร้ายแรงสมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างได้ ศาลก็ไม่ควรมีคำพิพากษาให้รับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน ศาลเพียงแต่ให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้างในฐานที่นายจ้างผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนก่อนการเลิกจ้า นอกจากนี้กฎหมายไทยมีบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างบางประเภทจากการถูกเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เช่น ไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองลูกจ้างที่ต้องประสบอุบัติเหตุจากการทำงานแล้วไม่สามารถทำงานในตำแหน่งที่เดิมได้ จึงถูกเลิกจ้างไป โดยนายจ้างมิได้ขวนขวายหางานในตำแหน่งหน้าที่อื่นให้ลูกจ้างทำก่อน นอกจากนี้ ในการเลิกจ้างด้วยเหตุทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีลูกจ้างถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมากนั้น กฎหมายไทยไม่มีบทบัญญัติให้ฝ่ายบริหารเข้าไปควบคุมตรวจสอบถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าเหมาะสมเพียงใดหรือไม่ หรือจะมีมาตรการอื่นในการแก้ไขบรรเทาปัญหา ที่จะติดตามมาหรือไม่ อีกทั้งในการตีความบังคับใช้กฎหมายอของศาลในเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ศาลก็ยังพิจารณาการเลิกจ้างด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจเหมือนกับการเลิกจ้างโดยเหตุทั่วไป ซึ่งในทางความเป็นจริงแล้ว สาเหตุแห่งการเลิกจ้าง ผลกระทบจากการเลิกจ้างโดยเหตุทางเศรษฐกิจนั้น แตกต่างกันมากกับการเลิกจ้างโดยเหตุทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายและมาตรการอันเป็นการเฉพาะแยกต่างหากจากการเลิกจ้างโดยเหตุทั่วไปจากสภาพการณ์ทั้งหมดโดยข้อเท็จจริงและบทบัญญัติของกฎหมายผู้เขียนจึงมีความเห็นเสนอแนะให้มีการแก้ไขกฎหมายแรงงานในเรื่องการเลิกจ้างและการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้มีความหมาย และขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการอำนวยความยุติธรรมให้กับนายจ้าง ลูกจ้าง และคุ้มครอบประโยชน์สาธารณะไปพร้อมกัน แต่โดยที่ในขณะนี้ การแก้ไขกฎหมายยังไม่อาจทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผู้เขียนมีความเห็นว่าควรแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการที่ศาลตีความตามกฎหมาย ปรับใช้บทบัญญัติตามกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้กับทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้มากยิ่งขึ้น

Share

COinS