Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลาและสตูล

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Application of Muslim law in Pattani Narathiwat Yalan and Satun

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

วิษณุ เครืองาม

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.418

Abstract

กฎหมายอิสลามหรือที่เรียกว่าชารีอะห์ เป็นระบบกฎหมายศาสนาที่ใช้อยู่ในชุมชนของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิม โดยเฉพาะในเนื้อหาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในทางครอบครัว กฎหมายอิสลามจึงเป็นสิ่งควบคู่กับชุมชนมุสลิม เพราะกฎหมายอิสลามนั้น มีที่มาจากคำภีร์กุรอ่าน หะดิษ อิจมาอ์ และกิยาสที่มุสลิมทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต กล่าวโดยทั่วไป กฎหมายอิสลามได้เข้ามาสู่ดินแดนทางเอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับการเข้ามาของศาสนาอิสลาม โดยประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ได้รู้จักกับระบบกฎหมายอิสลาม ก่อนที่จะรู้จักกับระบบกฎหมายของชาติตะวันตก เนื่องจากในระยะแรกๆ นั้น การปกครองมีลักษณะเป็นแว่นแคว้น ซึ่งในแว่นแคว้นที่มีผู้ปกครองเป็นมุสลิมก็ได้มีการนำเอากฎหมายอิสลามมาบังคับใช้กับประชาชนในแว่นแคว้นตน โดยการก่อตั้งสถาบันทางศาสนาอิสลามขึ้น เพื่อทำหน้าที่บริหารกฎหมายอิสลามให้สอดคล้องกับหลักศาสนา โดยที่รัฐบาลกลางก็ได้ยอมรับในการใช้กฎหมายอิสลาม และไม่ได้เข้าแทรกแซงในกิจการ การบริหารกฎหมายอิสลามของแต่ละแว่นแคว้นกฎหมายอิสลามจึงมีสถานภาพเป็นกฎหมายประจำแว่นแคว้นที่ใช้กับประชาชนมุสลิมในแว่นแคว้นนั้นๆ ครั้นต่อมาประเทศตะวันตกได้เข้ามาปกครองประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ในฐานะอาณานิคม ทำให้เจ้าอาณานิคม บางแห่งพยายามที่จะทำลายล้างขนบธรรมเนียมของชาวพื้นเมืองที่นับถือศาสนาอิสลาม จึงได้รับการต่อต้านจากประชาชนชาวมุสลิม ประชาชนชาวมุสลิมได้ ยืนยันสิทธิที่จะดำเนินชีวิตภายใต้หลักศาสนาอิสลาม ประกอบกับเจ้าอาณานิคมต้องการที่จะให้เกิดความสงบสุข เพื่อจะแสวงหาผลประโยชน์ในอาณานิคม จึงได้ยอมรับกฎหมายอิสลามให้บังคับใช้ในชุมชนมุสลิม ผลจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ทำให้การใช้กฎหมายอิสลาม จำกัดขอบเขตลงเฉพาะในบางเนื้อหาบางเรื่อง ตามที่รัฐบาลอาณานิคมต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางครอบครัว มรดก และการบริจาคทาน ในขณะที่การใช้กฎหมายอิสลามถูกจำกัดขอบเขตนั้น รัฐบาลอาณานิคมก็ได้พัฒนาระบบกฎหมายของตนเองขึ้นมาบังคับใช้จนกฎหมายเหล่านั้นได้กลายมาเป็นระกฎหมายของอาณานิคมไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลอาณานิคมจะยังคงให้มีการใช้กฎหมายอิสลามก็ตามแต่ก็ไม่ได้มีการก่อตั้งสถาบันทางศาสนาขึ้นมา เพื่อดำเนินการบริหารกฎหมายอิสลามแต่ประการใดเป็นเพียงให้ศาลแพ่งเป็นผู้ใช้กฎหมายอิสลามเท่านั้น ทำให้การใช้กฎหมายอิสลามไม่มีการคล่องตัว และไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาหลักกฎหมายขึ้นมาเป็นบรรทัดฐานได้ และผู้พิพากษาของศาลแพ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นมุสลิม และไม่มีความรู้ทางกฎหมายอิสลาม การพิจารณาคดีในกรณีที่กฎหมายอิสลามตามที่รัฐบาลอาณานิคมประมวลขึ้นนั้น ไม่ได้กล่าวไว้ ศาลแพ่งก็มักจะนำเอากฎหมายทั่วๆ ไปมาปรับแก่คดี ต่อมาเมื่อประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ได้รับเอกราช ความต้องการที่จะอยู่ร่วมกันทางสังคม เพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของประเทศเอาไว้ รัฐบาลของแต่ละประเทศก็ได้ยอมรับการใช้กฎหมายอิสลามสืบต่อจากรัฐบาลอาณานิคม นอกเหนือจากนั้น รัฐบาลก็ได้พัฒนากระบวนการเกี่ยวกับการใช้กฎหมายอิสลามขึ้นมา เนื่องจากสภาพและสถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนในที่สุดกฎหมายอิสลามก็ได้กลายมาเป็นกฎหมายสถานภาพบุคคล โดยการรวบรวมกฎหมายอิสลามในเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งาน การหย่า ความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามี ภรรยา การปกครอง การรับมรดกขึ้นมาเป็นประมวลกฎหมายหรือเป็นพระราชบัญญัติ นอกจากนั้นรัฐบาลก็ได้ก่อตั้งสถาบันทางศาสนาอิสลามขึ้นมาเพื่อการบริหารกฎหมายอิสลามเป็นการเฉพาะโดยการก่อตั้งศาลศาสนา สำนักงานจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า คณะกรรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตลอดจนที่ปรึกษากฎหมายอิสลามขึ้น ทำให้การใช้กฎหมายอิสลามเป็นไปอย่างมีระบบ และมีประสิทธิภาพ กล่าวโดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีประชากรส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ นับถือศาสนาอิสลามอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ซึ่งประชาชนส่วนนี้มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากสังคมส่วนใหญ่ของประเทศ และศาสนาอิสลามก็มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยในฐานะที่ศาสนาอิสลาม ก็เป็นศาสนาหนึ่งที่ประชาชนชาวมุสลิมได้ยึดถืออย่างเคร่งครัดภายใต้ระเบียบซึ่งกำหนดโดยระบอบการเมืองของไทย แม้ประเทศไทยจะเป็นสังคมที่มีแนวความคิดทางด้านการเมือง มีลักษณะการรวมอำนาจก็ตาม รัฐบาลไทยก็ได้เล็งเห็นความจำเป็นในการที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมุสลิม โดยจะเห็นได้จากโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่มุ่งจะพัฒนาจังหวัดชายแดนภายใต้ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม นอกจากนั้น รัฐบาลก็ได้ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนชาวไทยมุสลิม ในอันที่จะดำเนินชีวิตภายใต้หลักศาสนาอิสลาม โดยเห็นได้จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ ฝ่ายอิสลาม พ.ศ. 2488 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล พ.ศ. 2489 เมื่อพิจารณาถึงการใช้กฎหมายอิสลามตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจะเห็นว่ายังขาดรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารกฎหมายอิสลามอยู่เป็นอันมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศฟิลิปปินส์ ศรีลังกา สิงคโปร์ กล่าวคือพระราชบัญญัติฉบับนี้เพียงแต่กำหนดให้นำเอากฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวมรดกมาบังคับใช้แทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวมรดกเท่านั้น โดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับหลักกฎหมายอิสลามที่จะนำมาบังคับใช้และวิธีพิจารณาตามกฎหมายอิสลาม ตลอดจนองค์กรอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการบริหารกฎหมายอิสลาม การใช้กฎหมายจึงจำกัดอยู่เฉพาะแต่ในศาลเท่านั้น ทำให้การใช้กฎหมายอิสลามขาดประสิทธิภาพ เป็นอุปสรรคต่อการที่จะส่งเสริมการดำเนินชีวิตภายใต้หลักศาสนาอิสลามของประชาชนชาวไทยมุสลิม ดังนี้จุดมุ่งหมายในการทำวิทยานิพนธ์ก็คือศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคต่อการใช้กฎหมายอิสลาม ตลอดจนผลที่เกิดจากการใช้กฎหมายอิสลามในปัจจุบัน โดยการเทียบเคียงกับการใช้กฎหมายอิสลามในประเทศฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และศรีลังกา เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่างๆ โดยมีข้อเสนอแนวทางแก้ไขดังนี้ 1. ควรแก้ไขขอบเขตการใช้กฎหมายอิสลาม โดยการกำหนดให้ผู้ที่ทำการสมรสภายใต้หลักกำหมายอิสลามในเขต 4 จังหวัดภาคใต้ ต้องบังคับตามกฎหมายอิสลาม 2. ควรแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐพิจารณาใช้กฎหมายอิสลามเองได้แต่ในการนี้จำเป็นที่จะต้องดำเนินการแก้ไขในเรื่องเหล่านี้ คือ 2.1 การจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่าของมุสลิม โดยกำหนดให้เจ้าที่ทางศาสนาอิสลามกระทำหน้าที่จะทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่าในฐานะเจ้าที่ของทางราชการ 2.2. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัวมรดก โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของมุสลิม ถ้าหากคู่กรณียอมรับผลของการไกล่เกลี่ยก็อาจนำผลนั้นไปยืนยันสิทธิกับทางราชการได้ 3. ควรแก้ไขกฎหมายเพื่อให้คู่ความสามารถอุทธรณ์คำตัดสินของดะโต๊ะยุติธรรมได้ 4. ควรแก้ไขคุณสมบัติ การคัดเลือกและการแต่งตั้ง ดะโต๊ะยุติธรรมเพื่อให้เกิดความเหมาะสม

Share

COinS