Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การรับฟังพยานบอกเล่าของศาลไทย

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

The admission of hearsay evidence in Thai courts

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

พรเพชร วิชิตชลชัย

Second Advisor

ชาญวิทย์ ยอดมณี

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

นิติศาสตร์

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.406

Abstract

เป็นที่ยอมรับกันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในการพิจารณาคดีของศาลไทยประการหนึ่งก็คือ ความไม่แน่นอนในการรับฟังพยานหลักฐานโดยเฉพาะการรับฟังพยานบอกเล่า ซึ่งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานนี้เป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในประเทศระบบคอมมอนลอว์ ซึ่งมีการพิจารณาคดีเป็นแบบกล่าวหา ส่วนประเทศที่กฎหมายในรูปประมวลนั้น ศาลมีอำนาจค้นหาความจริงได้อย่างกว้างขวาง ไม่มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานที่เคร่งครัด และศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานทุกชนิดที่คู่ความนำเข้ามาสู่การดำเนินคดี เนื่องจากกฎหมายวิธีพิจารณาความของไทยมีลักษณะพิเศษคือ มีรูปแบบเป็นประมวลกฎหมายแต่ในด้านเนื้อหากลับนำเอาวิธีปฏิบัติในการสืบพยานหลักฐานของกฎหมายคอมมอนลอว์มาใช้ การซักถาม การถามค้าน และการถามติง ตลอดทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรับฟังพยานบอกเล่าซึ่งแต่เดิมกฎหมายลักษณะพยาน ร.ศ. 113 เคยบัญญัติไว้ชัดเจนว่า ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า แต่เมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2478 แล้วข้อห้ามดังกล่าวได้ลางเลือนไป เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 บัญญัติไว้ไม่ชัดเจนและห้ามเฉพาะพยานบุคคลเท่านั้น ทั้งที่ตามความหมายของพยานบอกเล่านั้นรวมถึงพยานเอกสารด้วย บทบัญญัติดังกล่าวทำให้นักกฎหมายไทยมีความเห็นแตกต่างกันตั้งแต่ในเรื่องหลักเกณฑ์ข้อจำกัดในการรับฟัง ความหมายของพยานบอกเล่า ข้อยกเว้นของพยานบอกเล่าและดุลพินิจของศาลในการรับฟังและชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า แนวการวินิจฉัยของศาลไทย หาได้เคยให้เหตุผลไว้ชัดแจ้งว่าเหตุใดศาลจึงไม่รับฟังพยานบอกเล่า หรือเหตุใดศาลจึงยอมรับฟังพยานบอกเล่า ทั้งนี้เพราะกฎหมายมิได้บัญญัติไว้ชัดเจนและละเอียดเพียงพอแก่การนำไปเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยของศาล นอกจากนี้พยานบอกเล่าแม้โดยทั่วไปจะไม่ควรแก่การรับฟังเป็นพยานหลักฐานก็ตาม ก็ยังมีพยานบอกเล่าบางกรณีที่น่าเชื่อถือ และหากศาลไม่รับฟังแล้ว คดีนั้นก็จะไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พอเพียงแก่การพิจารณาตัดสินของศาลได้เลย จึงมีปัญหาว่าศาลไทยจะรับฟังพยานบอกเล่าดังกล่าวโดยอาศัยเหตุผลและข้อยกเว้นใด ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดมา ศาลก็คงตระหนักเป็นอย่างดี และพยายามหาทางแก้ไขทุกวิถีทางเท่าที่กฎหมายจะอำนวยช่องทางให้ศาลทำได้ โดยยึดตามแนวของศาลอังกฤษบ้าง หรือโดยอาศัยอำนาจในการใช้ดุลพินิจของศาลเองบ้าง ซึ่งกรณีดังกล่าว ทำให้เห็นว่าลักษณะการรับฟังพยานบอกเล่าของศาลไทยกว้างขวาง และไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน อันส่งผลกระทบต่อทุกฝ่ายในขบวนการยุติธรรม วิทยานิพนธ์นี้ ผู้เขียนได้ศึกษาและวิเคราะห์จากแนวคำพิพากษาของศาลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2460 จนถึงปัจจุบันและความเห็นของนักนิติศาสตร์ในตำรากฎหมายลักษณะพยานที่ใช้ ศึกษาอยู่ขณะที่กฎหมายลักษณะพยาน ร.ศ. 113 ยังมีผลใช้บังคับและตำรากฎหมายลักษณะพยานในปัจจุบันแล้ว ทำให้พบว่าความเห็นเกี่ยวกับการรับฟังพยานบอกเล่าที่แตกต่างกันก็ดี ความไม่มีหลักเกณฑ์ในการรับฟังที่แน่นอนก็ดี ล้วนแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากกฎหมายไทย ไม่ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เรื่องพยานบอกเล่าไว้ชัดเจนและละเอียดเพียงพอ ผู้เขียนจึงได้สรุปเสนอแนะแนวทางและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายในเรื่องนี้ให้ มีความชัดเจนและเหมาะสมต่อไป

Share

COinS