Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น : ศึกษาเฉพาะกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเมืองพัทยาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2528

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Voting behavior in local self-government : a case study of the election of Pattaya city on March 17, 1985

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

รัฐศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

การปกครอง

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.521

Abstract

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อต้องการศึกษาแบบแผนของพฤติกรรมการลงคะแนน เสียงเลือกตั้งในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะการปกครองรูปพิเศษ เมืองพัทยา อิทธิพลของปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ระดับความรู้ ความเข้าใจและความสนใจทางการเมืองรวมทั้งทั้งทัศนคติของประชาชน ในเขตเมืองพัทยาที่มีต่อการเลือกตั้งและการปกครองท้องถิ่นรูปแบบผู้จัดการ ในการวิจัยนี้กำหนดขอบเขตไว้เฉพาะการเลือกตั้งสภาเมืองพัทยา ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2528 โดยได้ทำการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 238 คน และศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องประกอบการวิเคราะห์ครั้งนี้ด้วย สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลกระทำโดยใช้โปรแรมคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณหาค่าความถี่ของตัวแปรทุกตัว และคำนวณหาค่าไค-สแควร์ โดยตั้งนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไปลงคะแนนเสียงด้วยความสำนึกของตนเอง โดยถือว่าเป็นหน้าที่พลเมืองดีพึงปฏิบัติ ประกอบกับนิยมชมชอบตัวผู้สมัคร หรือนโยบายในการพัฒนาท้องถิ่นของผู้สมัครหรือกลุ่มผู้สมัครมากกว่าที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะถูกระดม และเมื่อจำแนกตามสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว พบว่าระดับการศึกษาและอาชีพของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2 ตัวแปร เท่านั้น จากจำนวน 7 ตัวแปร ที่มีความสัมพันธ์อย่างนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 2. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไปลงคะแนนเสียง โดยได้ตัดสินใจเลือกผู้สมัครไว้ก่อนหลายวันแล้ว แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้ลงคะแนนเสียงที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง จะตัดสินในเลือกผู้สมัครเร็วกว่าผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ เนื่องจากมีปัจจัยหรือตัวแปรที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับระยะเวลาในการตัดสินใจเพียง 2 ตัวแปร คือ ระดับการศึกษา และรายได้ ส่วนตัวแปรที่เกี่ยวกับ เพศ อายุ อาชีพ ภูมิลำเนาเดิม และที่อยู่อาศัย ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตแต่อย่างใด 3. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครโดยคำนึงถึงตัวบุคคลมากกว่ากลุ่มการเมืองและเมื่อได้จำแนกตามสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว พบว่าเกณฑ์การตัดสินใจเลือกผู้สมัคร โดยคำนึงถึงกลุ่มการเมืองหรือตัวบุคคลมีความแตกต่างกันน้อยมาก และมีระดับการศึกษาเป็นตัวแปรเดียวเท่านั้น ที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิต 4. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีระดับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นเมืองพัทยา ดีพอสมควร โดยได้วัดระดับความรู้ ความเข้าใจ และแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับต่ำ ระดับปานกลางและระดับสูง ปรากฏว่าผู้มีระดับความรู้ ความเข้าใจสูง มีสัดส่วนใกล้เคียงกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีระดับความรู้ ความเข้าใจต่ำ 5. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังให้ความสนใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกเมืองพัทยาน้อยมากและบางส่วนเห็นควรให้แก้ไขปรับปรุงระบบการเลือกตั้งด้วย นอกจากนี้บางคนยังไม่มีความพอใจในรูปแบบการปกครองท้องถิ่น แบบผู้จัดการ โดยให้เหตุผลส่วนใหญ่ว่าการบริหารงานของเมืองพัทยาและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เมืองพัทยาไม่มีประสิทธิภาพดีพอ

Share

COinS