Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการศึกษาภาคบังคับของไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Historical analysis of practices in Thai compulsory education
Year (A.D.)
1985
Document Type
Thesis
First Advisor
ดวงเดือน พิศาลบุตร
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
ครุศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
สารัตถศึกษา
DOI
10.58837/CHULA.THE.1985.347
Abstract
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาและวิเคราะห์ วิวัฒนาการ แนวความคิดนโยบาย และโครงสร้างการจัดการศึกษาภาคบังคับของไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2464 – 2520 เพื่อชี้ให้เห็นถึงเรื่อง นโยบาย แนวความคิด ปัญหา อุปสรรค ความสำเร็จ และความผิดพลาดในการจัดการศึกษาภาคบังคับของไทยอย่างชัดเจน อันเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษาภาคบังคับของไทยให้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น และช่วยลดความสูญเปล่าทางการศึกษาอีกทางหนึ่งด้วย จากผลการวิจัยพบว่า นโยบายการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนของไทยในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยจนถึงระยะหลังสงครามโลกครั้ง 2 (พ.ศ. 2414 – 2494) นโยบายการจัดการศึกษาของไทยมุ่งสนองความต้องการทางการเมืองหรือความต้องการของรัฐ คือ ผลิตคนเพื่อเข้ารับรับราชการในระยะต่อมา มีนโยบายจัดวิชาชีพให้เรียนในระดับประถมศึกษา เพื่อปลูกฝังหรือให้ผู้เรียนสนใจประกอบอาชีพอิสระอื่น ๆ นอกเหนือจากการรับราชการ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาให้คนไทยตระหนักในการประกอบอาชีพดั้งเดิมของชาติ ซึ่งนับวันจะตกไปอยู่ในมือของชนต่างชาติ การจัดการศึกษาสมัยนี้มีการเปลี่ยนแผนการศึกษาชาติบ่อย ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ เนื่องจากองค์ประกอบหลายประการ เช่น หลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน ครูขาดคุณภาพ จึงไม่เอื้อต่อการฝึกให้นักเรียนเกิดทักษะที่จะนำไปใช้ได้จริง ในระยะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย (พ.ศ. 2475 – 2494) นโยบายการจัดการศึกษาภาคบังคับของไทยมุ่งขยายการศึกษาทางด้านปริมาณอย่างเห็นได้ชัด เพื่อสนองต่อพระราชบัญญติรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. 2475 ผลการดำเนินงานสามารถประกาศตั้งโรงเรียนประชาบาลได้ครบทุกตำบลใน พ.ศ. 2478 แต่คุณภาพของนักเรียนยังอยู่ในระดับต่ำ การจัดการศึกษาที่ผ่านมามุ่งสนองต่อความสำเร็จทางการเมืองมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาการสูญเปล่าทางการศึกษา คือ ขาดคุณภาพและสิ่งที่เรียนไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตเท่าที่ควร ในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2494 – 2503) นโยบายการจัดการศึกษาของรัฐมุ่งปรับปรุงคุณภาพของการศึกษา ได้นำวิธีการ หลักการ ทฤษฎี การจัดการศึกษาจากต่างประเทศมาทดลองใช้ และนำมาใช้ในประเทศในปี พ.ศ. 2503 คือ จัดการศึกษาสนองต่อความต้องการของสังคมและบุคคล แต่การนำแบบอย่างของต่างประเทศมาใช้นั้นเป็นลักษณะการลอกเลียนแบบ ไม่ได้นำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมวัฒนธรรมไทย การจัดการศึกษาจึงไม่ให้ผลตามที่กำหนดนโยบายไว้ และไม่สนองต่อการดำรงชีวิตของผู้เรียนอย่างแท้จริง การลงทุนเพื่อการศึกษาจึงได้ผลไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร ในยุคปฏิรูปการศึกษา รัฐได้แสวงหาแนวทาง การจัดการศึกษาให้ได้ผลโดยคำนึงถึงศาสตร์ต่าง ๆ มาเป็นปัจจัยในการสร้างรูปแบบการจัดการศึกษาใหม่ เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยา การวิเคราะห์การจัดการศึกษาของตนเองในอดีต ตลอดจนการจัดการศึกษาในต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางการจัดการศึกษาให้มีคุณค่ามากที่สุด วิธีการจัดการศึกษาในยุคนี้จึงมีลักษณะการนำศาสตร์ การศึกษาเปรียบเทียบในระยะที่ 3 คือ ระยะวิเคราะห์มาใช้ โดยเชื่อว่าแนวความคิดใหม่นี้จะลดความสูญเปล่าทางด้านการศึกษา เพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูงขึ้นได้ ในการนำศาสตร์ การเปรียบเทียบมาใช้ประโยชน์ในการจัดการศึกษาของไทยนั้นพบว่า โครงการศึกษาฉบับแรก คือ โครงการศึกษาชาติ พ.ศ. 2441 ได้นำเอาเค้าโครงรูปแบบการจัดการศึกษาของประเทศอังกฤษมาประยุกต์ใช้ ต่อมาได้ปรับปรุงโครงการศึกษาของชาติใหม่ เป็นโครงการศึกษา พ.ศ. 2445 ซึ่งอาศัยข้อมูลจากแผนการศึกษาชาติของประเทศญี่ปุ่นมาเป็นแนวทางในการปรับปรุง วิธีการนำแผนการศึกษาจากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้นี้ ตรงกับกระบวนการของศาสตร์การเปรียบเทียบระยะที่ 2 ที่เรียกว่า ระยะทำนาย (Prediction) ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากองค์การชำนัญพิเศษขององค์การสหประชาชาติในด้านปรับปรุงคุณภาพการศึกษาโดยการให้ความร่วมมือ และร่วมทำโครงการทดลองจัดการเรียนการเรียนการสอนแผนใหม่ที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา มีกระบวนการเรียนการสอนตามแนวปรัชญาพิพัฒนาการ (Progressivism) ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนาการศึกษาแนวใหม่ในปัจจุบัน การจัดการศึกษาของไทยในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าได้เริ่มนำวิธีหรือกระบวนการของการศึกษาเปรียบเทียบมาใช้ในการจัดการศึกษา กล่าวคือ การจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 และแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2503 เป็นกระบวนการของการศึกษาเปรียบเทียบระยะที่ 1 คือ ระยะขอยืม การจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2520 เป็นกระบวนการของการศึกษาเปรียบเทียบระยะที่ 2 (ระยะทำนาย) กับระยะที่ 3 (ระยะวิเคราะห์) ซึ่งเป็นการปฏิรูปการศึกษาโดยอาศัยหลักวิชา และพื้นฐานทางสังคม การปฏิรูปการศึกษาโดยวิธีการดังกล่าวข้างต้นนั้น ในยุคนี้มีความเชื่อว่าสามารถจัดการศึกษาได้สนองตามความต้องการของสังคมและบุคคล ซึ่งสนองต่อการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบันได้จริง การลงทุนเพื่อศึกษาของรัฐจึงได้ประโยชน์คุ้มค่าทั้งของรัฐบาลและส่วนบุคคล ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า การศึกษาเปรียบเทียบเป็นศาสตร์ที่จำเป็นต้องนำมาใช้เป็นหลักในกระบวนการปฏิรูปการศึกษาในยุคปัจจุบันและอนาคต
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ทัพประเสริฐ, เพ็ญจันทร์, "การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการศึกษาภาคบังคับของไทย" (1985). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 47838.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/47838