Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
การใช้เงินอุดหนุนเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการใช้ทรัพยากร ของรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศไทย
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
Using grant mechanism to direct resources by local gevernments in Thailand
Year (A.D.)
1987
Document Type
Thesis
First Advisor
ไกรยุทธ ธีรตยาคีนันท์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
เศรษฐศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1987.111
Abstract
เงินอุดหนุนเป็นรายได้หลักที่สำคัญของรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศไทยแต่สภาพการใช้เงินอุดหนุนยังขาดประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรระหว่างรัฐบาลต่างระดับ เนื่องจากมีเงินอุดหนุนอยู่มากประเภทและมีหลักเกณฑ์การจัดสรรที่สลับซับซ้อน วงเงินที่จัดสรรยังไม่สอดคล้องกับความต้องการทรัพยากร ที่แท้จริงของท้องถิ่น ดังนั้น การปรับปรุงระบบเงินอุดหนุนให้เป็นระบบที่ง่ายขึ้นและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการใช้ทรัพยากรของรัฐบาลท้องถิ่น จึงเป็นสิ่งที่สมควรแก่การศึกษาเพื่อประโยชน์แก่การคลังท้องถิ่นในประเทศไทย จากทฤษฎีเงินอุดหนุนได้ให้ข้อเสนอแนะว่า เงินอุดหนุนทั่วไปสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการกระจายความเสมอภาคทางการคลังระหว่างท้องถิ่น เงินอุดหนุนสมทบสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการชักจูงให้ท้องถิ่นเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าสาธารณะที่จำเป็น หรือรักษาระดับคุณภาพให้ได้มาตรฐานขั้นต่ำ เงินอุดหนุนเฉพาะกิจสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาผลล้นออกของการผลิตสินค้าสาธารณะและเพื่อให้รัฐบาลกลางเข้าไปมีบทบาทในระดับท้องถิ่น เราสามารถใช้ทฤษฎีดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการประเมินระบบเงินอุดหนุนของไทย และเป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบเงินอุดหนุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลการศึกษาพบว่า ระบบเงินอุดหนุนของไทยยังไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่เสนอไว้ในทฤษฎี การปรับปรุงระบบเงินอุดหนุนจะกระทำในองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ วัตถุประสงค์ สิทธิ์ของท้องถิ่น หลักเกณฑ์การจัดสรรและวงเงินอุดหนุนภายใต้ระบบใหม่จะมีเงินอุดหนุนอยู่เพียง 3 ประเภท คือ เงินอุดหนุนทั่วไปเงินอุดหนุนสมทบและเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รัฐบาลท้องถิ่นทุกระดับและทุก ๆ แห่งจะมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนทั้ง 3 ประเภทโดยเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ท้องถิ่นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนทั่วไป จะต้องมีฐานะทางการคลังต่ำกว่ารัฐบาลกลาง วงเงินจะผันแปรทางตรงกับจำนวนประชากร ฐานะทางการคลังและระดับความพยายามทางการคลังของท้องถิ่น เงินอุดหนุนทั่วไประบบใหม่จะใช้เพื่อการบริหารงานทั่วไป ส่วนเงินอุดหนุนทั่วไประบบเดิมที่ให้แก่งานบริหารการศึกษาจะถูกนำไปรวมไว้ในเงินอุดหนุนสมทบ ซึ่งท้องถิ่นจะมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนสมทบตลอดไป โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องมีฐานะทางการคลังต่ำกว่ารัฐบาลกลาง เงินอุดหนุนสมทบแบบเปิดจะใช้เป็นรายจ่ายประจำสำหรับรับรักษาระดับคุณภาพของการศึกษาภาคบังคับ การสาธารณสุขและสาธารณูปการ และทางหลวงท้องถิ่น ส่วนเงินอุดหนุนสมทบแบบบิดจะใช้เป็นรายจ่ายลงทุนสำหรับชักจูงให้ท้องถิ่นผลิตสินค้าสาธารณะทั้ง 3 ประเภทดังกล่าวเพิ่มขึ้นวงเงินอุดหนุนแบบเปิดจะจัดสรรให้ทั้งหมดคิดเป็น 50% ของเงินอุดหนุนทั่วไป ในจำนวนนี้จะแบ่งให้แก่การศึกษาภาคบังคับ 40% การสาธารณสุขและสาธารณูปการ 40% และทางหลวงท้องถิ่น 20% สำหรับวงเงินอุดหนุนแบบปิดจะกำหนดเป็นอัตราสมทบเป็นขั้น ๆ ผกผันกับฐานะทางการคลังของท้องถิ่น ส่วนเงินอุดหนุนเฉพาะกิจจะใช้เป็นรายจ่ายลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเพื่อช่วยเหลือท้องถิ่นที่ประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติหลักเกณฑ์การจัดสรรจะไม่พิจารณาถึงฐานะทางการคลังหรือระดับความพยายามทางการคลังของท้องถิ่น วงเงินที่จัดสรรจะคิดจากต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของโครงการโดยใช้ราคามาตรฐานของกรมบัญชีกลางเป็นราคากลาง ๆ ที่ใช้ได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้เงินอุดหนุนเฉพาะกิจปกติและกรณีพิเศษซึ่งใช้กันอยู่ในระบบเดิมจะถูกยกเลิกไปบางส่วน และบางส่วนได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดสรรไปเป็นเงินอุดหนุนสมทบ
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
สัมฤทธิ์ทรัพย์, สมชาย, "การใช้เงินอุดหนุนเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการใช้ทรัพยากร ของรัฐบาลท้องถิ่นในประเทศไทย" (1987). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 47778.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/47778