Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)
แบบแผนทางด้านที่ตั้งของอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทย ในช่วงปี 2520-2524 : ศึกษาเฉพาะกรณีกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกับภาคเหนือ
Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)
The location pattern of manufactureing industy in Thailand 1977-1981 : a case study of greater Bangkok and the northern
Year (A.D.)
1987
Document Type
Thesis
First Advisor
จาริต ติงศภัทิย์
Faculty/College
Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)
Degree Name
เศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Level
ปริญญาโท
Degree Discipline
เศรษฐศาสตร์
DOI
10.58837/CHULA.THE.1987.110
Abstract
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างที่ตั้งของอุตสาหกรรมการผลิตกับปัจจัยที่คาดว่าจะมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกที่ตั้งของอุตสาหกรรม โดยเป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างภาคเมือง (กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี และนนทบุรี) กับภาคชนบท (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง) ถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการตัดสินใจตั้งโรงงานของตนในภาคเมือง สำหรับโรงงานที่ตั้งขึ้นในระหว่างปี 2520-2524 ในการศึกษาได้ใช้วิธีการทางสถิติในการเลือกโรงงานที่ตกเป็นตัวอย่าง โดยใช้ Stratified Systematic Sampling Method ซึ่งมีประเภทของอุตสาหกรรม ขนาดและที่ตั้งเป็น Stratification Factor โดยสุ่มตัวอย่างมาทั้งหมด 72 โรงงาน เป็นโรงงานในภาคเมือง 37 โรงงานและภาคชนบท 35 โรงงาน และทำการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการของโรงงานถึงเหตุผลในการเลือกที่ตั้งโรงงานที่เป็นอยู่ โดยเปรียบเทียบโรงงานในภาคเมืองและภาคชนบท และทำการทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้อุตสาหกรรมเลือกภาคเมืองเป็นที่ตั้งของโรงงาน หรือก็คือ การกระจุกตัวของโรงงานในภาคเมืองถูกกำหนดโดยปัจจัยดังกล่าวและใช้วิธีการทางสถิติในการทำการทดสอบ ปัจจัยที่นำมาทดสอบได้แก่ ปัจจัยด้านขนาดของโรงงาน Urbanization Factors ได้แก่ การขนส่งสินค้าและวัตถุดิบ การมีนิคมอุตสาหกรรม บริการสาธารณูปโภคต่างๆ และ Localization Factors ได้แก่ ตลาดสินค้าในภาคเมือง แหล่งวัตถุดิบในภาคเมือง ประเภทของแหล่งน้ำและเชื้อเพลิงที่ใช้ ผลของการวิเคราะห์โดยใช้ Logit Model แสดงว่า ปัจจัยที่มีส่วนเพิ่มโอกาสที่โรงงานอุตสาหกรรมจะตั้งอยู่ในภาคเมือง ได้แก่ การเป็นโรงงานขนาดใหญ่ การตั้งโรงงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม และถ้าโรงงานนั้นใช้วัตถุดิบจากภาคเมือง หรือขายสินค้าในตลาดในภาคเมือง โอกาสที่โรงงานนั้นจะตั้งอยู่ในภาคเมืองก็ยิ่งมากขึ้น และเมื่อพิจารณาเฉพาะโรงงานขนาดใหญ่ ปัจจัยที่มีผลในทางบวก ต่อโอกาสที่โรงงานจะอยู่ในภาคเมือง คือ ถ้าโรงงานใช้แรงงานมีฝีมือมาก หรือมีการใช้วัตถุดิบในภาคเมืองมากสำหรับโรงงานขนาดเล็กนั้น ปัจจัยที่มีผลในทางบวกต่อโอกาสที่โรงงานจะอยู่ในภาคเมือง คือ ถ้าโรงงานนั้นมีตลาดสินค้าในภาคเมืองเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้บริการสาธารณูปโภค คือ ไฟฟ้าและการขนส่งวัตถุดิบ รวมทั้งการตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม การใช้แหล่งน้ำอื่น ผลสรุปของการศึกษา ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งโรงงานในภาคเมืองหรือการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมในภาคเมือง จะขึ้นอยู่หรือถูกกำหนดโดย ขนาดของโรงงาน Urbanization Factor คือ คนงานมีฝีมือ ค่าใช้จ่ายในเรื่องของไฟฟ้า ค่าขนส่งวัตถุดิบและการตั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และ Localization Factor คือตลาดสินค้าในภาคเมือง แหล่งวัตถุดิบในภาคเมือง การใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นและการใช้แหล่งอื่น ดังกล่าวนั่นเอง เมื่อพิจารณาผลที่ได้จากากรวิเคราะห์กับมาตรการและนโยบายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1-4 ในการกระจายอุตสาหกรรมไปยังภาคชนบท พบว่า มาตรการดังกล่าวของรัฐบาลไม่เพียงพอในการจูงใจให้ผู้ประกอบการตัดสินใจตั้งโรงงานของตนในภาคชนบท ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ รัฐบาลควรเพิ่มมาตรการบางประการซึ่งเป็นผลจากการวิเคราะห์ เป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการตัดสินใจตั้งโรงงานในภาคชนบทเพิ่มขึ้น
Creative Commons License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-No Derivative Works 4.0 International License.
Recommended Citation
ฐิตยานัน, พิมพาภรณ์, "แบบแผนทางด้านที่ตั้งของอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทย ในช่วงปี 2520-2524 : ศึกษาเฉพาะกรณีกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกับภาคเหนือ" (1987). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). 47777.
https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/47777