Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

การรับรู้และพฤติกรรมที่เกี่ยวกับโรคฟันตกกระของประชากรในเขตชนบท ของจังหวัดเชียงใหม่

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Perception and health behavior regarding fluorosis of rural population in Chiangmai

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

อมรา พงศาพิชญ์

Second Advisor

ประทีป พันธุมวนิช

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

สังคมวิทยามหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สังคมวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.708

Abstract

ฟันตกกระเป็นอาการอย่างหนึ่งของการที่ร่างกายได้รับสารฟลูออไรด์มากเกินไป เนื่องจากร่างกายสะสมฟลูออไรด์ไว้มากกว่าระดับปกติ จึงทำให้สีของฟันเปลี่ยนไป ตั้งแต่มีจุดสีขาวขุ่นเล็กๆบนผิวฟัน จนกระทั่งถึงผิวฟันขรุขระเนื่องจากฟังกร่อนและสีเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้ม ในภาคเหนือของประเทศไทย มีสายแร่ฟลูออไรด์และมีสารฟลูออไรด์เจือปนอยู่ตามธรรมชาติทั้งในอาหารและน้ำดื่ม ประชาชนในหลายจังหวัดได้รับสารฟลูออไรด์มากจนเกิดฟันตกกระในระดับต่าง ๆ จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในท้องที่อำเภอสะเก็ด สันกำแพง และหางดงของจังหวัดเชียงใหม่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาการรับรู้และพฤติกรรมที่เกี่ยวกับโรคฟันตกกระ ตลอดถึงความต้องการรักษาของประชาชน เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการวางแผนป้องกันโรคดังกล่าว วิธีเก็บข้อมูล คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ Cluster Sampling และ Quota Sampling จากพื้นที่วิจัย 42 หมู่บ้านใน 10 ตำบลของอำเภอสะเก็ด สันกำแพง และหางดง จังหวัดเชียงใหม่ และเก็บข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์จากแบบสอบถามใน 4 กลุ่มประชากร คือ 1) เด็กอายุ 11-13 ปี คัดเลือกเฉพาะเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านมาตั้งแต่เกิดและใช้แหล่งน้ำดื่มเดียวกันมาตลอด จำนวน 164 คน 2) ผู้ปกครองเด็กที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 164 คน 3) ผู้นำหมู่บ้านและคณะกรรมการหมู่บ้าน จาก 16 หมู่บ้าน 4) หมอฟันพื้นบ้านในเขตพื้นที่วิจัยซึ่งผู้ปกครองและผู้นำหมู่บ้านระบุ จำนวน 3 คน จากการศึกษาพบว่า ประชาชนมีการรับรู้ต่อความจำเป็นในการรักษาโรคฟันตกกระอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ในกลุ่มเด็กที่มีอาการของโรคมาก พบว่าเด็กมีการตัดสินใจว่าตนเองเป็นโรคร้อยละ 60 ส่วนเด็กที่มีอาการของโรคฟันตกกระน้อย เด็กตัดสินใจว่าตนเองเป็นโรคเพียงร้อยละ 36 เท่านั้น ทั้งนี้การตัดสินใจว่าตนเองเป็นโรคมีความสัมพันธ์โดยตรงกับประสบการณ์ที่เคยเป็นคนในหมู่บ้านเป็นและมีสีของฟันเปลี่ยนไป ส่วนความรู้เกี่ยวกับโรคไม่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของเด็ก ในกลุ่มตัวอย่างเด็กรักษาโรคฟันตกกระโดยการขัดฟัน 7 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 12 ของกลุ่มเด็กที่มีความต้องการรักษาโรค วัสดุที่ใช้คือ ถ่าน และกระดาษทราย ส่วนการรักษากับหมอฟันพื้นบ้านพบ 6 คน โดยผู้ปกครองเป็นผู้พาเด็กไปรักษา จากกลุ่มผู้ปกครองที่มีความต้องการรักษาเด็กจำนวน 46 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 13 เมื่อเปรียบเทียบการวินิจฉัยของทันตแพทย์กับการตัดสินใจของผู้ปกครองว่าเด็กมีฟันตกกระ พบว่า ผู้ปกครองของเด็กที่มีฟันตกกระระดับเป็นมาก มีการตัดสินใจถูกต้องร้อยละ 46 ส่วนกลุ่มเด็กที่มีฟันตกกระระดับเป็นน้อยผู้ปกครองตัดสินใจถูกต้องเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น การตัดสินใจของผู้ปกครองนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับโรค ส่วนระดับการศึกษาและความรู้เกี่ยวกับโรคไม่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจของผู้ปกครอง

Share

COinS