Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

ปัจจัยทีมีผลต่อการทำหมันและความคิดที่จะทำหมันของสตรีที่สมรสแล้ว ในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Factors affecting sterilization and intention to utilize sterilization among married women in Bangkok suburban

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

พิชิต พิทักษ์เทพสมบัติ

Second Advisor

เกื้อ วงศ์บุญสิน

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

สังคมวิทยามหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

สังคมวิทยา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.707

Abstract

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้ เพื่อต้องการทราบถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และประชากรที่มีผลทำให้สตรีและสามีทำหมันหรือไม่ทำหมัน คิดที่จะทำหมันหรือไม่คิดที่จะทำหมันในอนาคตโดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากโครงการวิจัย ชื่อโครงการวิจัยลักษณะทางประชากรและการใช้พื้นที่เขตชานเมือง ซึ่งดำเนินการวิจัยโดยสถาบันประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทำการวิจัยครัวเรือนในเขตชานเมือง ในเขตบางเขน บางกะปิ และมีนบุรี จำนวน 842 ครัวเรือนเมื่อเดือนธันวาคม 2526 และมีสตรีที่สมรสแล้วและกำลังอยู่กินกับสามีอายุไม่เกิน 49 ปี และสตรีที่ตกเป็นตัวอย่างในการวิเคราะห์ในเรื่องการทำหมันจำนวน 503 ราย และตัวอย่างสำหรับการวิเคราะห์ในเรื่องความคิดที่จะทำหมัน จำนวน 335 ราย ในการศึกษาครั้งนี้ตัวแปรตามคือการทำหมัน และความคิดที่จะทำหมัน ตัวแปรอิสระคืออายุของสตรีและสามี การศึกษาของสามี ศาสนาของสามี อาชีพของสตรีและสามี สถานภาพการทำงานของสตรีและสามี การทำงานก่อนแต่งงานของสตรี การทำงานหลังแต่งงานของสตรีรายได้ของสตรี รายได้ของครอบครัว ทัศนคติของสามีกับการทำแท้ง และการลดอัตราภาษีให้แก่คนโสด จำนวนบุตรที่ต้องการของสตรี การปรึกษาหารือเรื่องจำนวนบุตรที่ต้องการของสามีและสตรี ผลจากการวิเคราะห์ในรูปของตารางตัวแปรตามและตัวแปรอิสระอย่างละหนึ่งตัว ปรากฏดังต่อไปนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการทำหมัน อายุของสตรีและสามี รายได้ของครอบครัว ศาสนาของสามี มีผลในทางบวกต่อการทำหมัน และเป็นไปตามสมมุติฐานที่วางไว้ ระดับการศึกษา อาชีพของสามี และสตรี สถานภาพการทำงานของสตรีและสามีการทำงานก่อนแต่งงานและหลังแต่งงานของสตรี รายได้ของสตรี ทัศนคติของสามีต่อการทำแท้งและการลดอัตราภาษีให้กับคนโสด จำนวนบุตรที่ต้องการและการปรึกษาหารือเรื่องจำนวนบุตรที่ต้องการ มีผลต่อการทำหมันแต่ไม่เป็นไปในทิศทางที่ได้ตั้งสมมติฐานไว้ เมื่อนำจำนวนบุตรที่มีชีวิตเข้ามาร่วมพิจารณาด้วยโดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือสตรีกลุ่มที่มีบุตร 0-2 คน และ 3 คนขึ้นไป ปรากฏว่า อายุของสตรีและสามี ศาสนาของสามี อาชีพของสามีและสตรี สถานภาพการทำงานของสตรีและสามี การทำงานก่อนแต่งงานและหลังแต่งงานของสตรี รายได้ของครอบครัว รายได้ของสตรี ทัศนคติของสามีกับการทำแท้ง มีผลต่อการทำหมันในลักษณะเดิม สำหรับตัวแปรอื่น เช่น การศึกษาของสามี ทัศนคติของสามีกับการทำแท้งฯ จำนวนบุตรที่ต้องการ การปรึกษาหารือกับสามีในเรื่องจำนวนบุตรที่ต้องการ เมื่อควบคุมด้วยจำนวนบุตรที่มีชีวิตอยู่ ปรากฏว่าตัวแปรอิสระเหล่านี้มีผลต่อการทำหมันแตกต่างไปจากความสัมพันธ์เดิม เช่น ร้อยละของการทำหมันของสตรีและสามีที่เคยปรึกษาและไม่เคยปรึกษาหารือในเรื่องจำนวนบุตรที่ต้องการเท่ากับร้อยละ 33.2 และ 33.3 ตามลำดับ แต่ในบรรดาสตรีที่มีบุตรที่มีชีวิต 3 คนขึ้นไปร้อยละนี้เท่ากับ 56.3 และ 43.8 ซึ่งแตกต่างกันถึง 12.5 เป็นต้น ความคิดที่จะทำหมัน ระดับการศึกษาของสามี ศาสนาของสามี รายได้ของครอบครัว รายได้ของสตรีมีผลในทางบวกต่อความคิดที่จะทำหมัน และอายุของสตรีและสามี จำนวนบุตรที่ต้องการมีผลในทางลบต่อความคิดที่จะทำหมัน สำหรับตัวแปรอื่นๆ ได้แก่ อาชีพของสตรีและสามี สถานภาพการทำงานของสตรีและสามี การทำงานก่อนและหลังการแต่งงานของสตรี ทัศนคติของสามีต่อการทำแท้ง การปรึกษาหารือเรื่องจำนวนบุตรที่ต้องการของสตรีและสามี ตัวแปรเหล่านี้มีผลต่อความคิดที่จะทำหมันและเป็นไปตามสมมุติฐาน สำหรับทัศนคติของสามีต่อการลดอัตราภาษีให้แก่คนโสด ซึ่งมีผลต่อความคิดที่จะทำหมันแต่ไม่เป็นไปตามสมมุติฐาน สำหรับระดับการศึกษา รายได้ของครอบครัวมีผลต่อความคิดที่จะทำหมันแตกต่างไปจากเดิมเมื่อคุมด้วยอายุ สำหรับการวิเคราะห์ที่มีตัวแปรอิสระหลายๆ ตัวในขณะเดียวกัน (Multivariate analysis) เพื่อศึกษาว่าปัจจัยใดมีอิทธิพลหรือมีผลต่อการทำหมัน และความคิดที่จะทำหมันการศึกษาในส่วนนี้ได้คัดเลือกตัวแปรอิสระมา 8 ตัวจากตัวแปรอิสระทั้งหมด 15 ตัว ผลการวิเคราะห์มีดังต่อไปนี้ ในการวิเคราะห์เรื่องการทำหมันตัวแปรที่ถูกเลือกมามี 8 ตัวแปรได้แก่ จำนวนบุตรที่มีชีวิตอยู่ รายได้ของครอบครัว การทำงานก่อนแต่งงานของสตรี อายุของสตรี จำนวนบุตรที่ต้องการ อาชีพของสมี ศาสนาของสามี และระดับการศึกษาของสามี พบว่า จำนวนบุตรที่มีชีวิตอยู่มีอิทธิพลต่อการทำหมันมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ศาสนาของสามีและรายได้ของครอบครัวซึ่งตัวแปรทั้ง 3 มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ส่วนตัวแปรอื่นๆ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งแสดงว่าไม่ค่อยมีบทบาทต่อการทำหมันมากนัก ในการวิเคราะห์เรื่องความคิดที่จะทำหมัน ตัวแปรที่ถูกเลือกมา 8 ตัวแปรเช่นกันพบว่า อายุของสตรีมีผลต่อความคิดที่จะทำหมันมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ศาสนาของสามีและระดับการศึกษาของสามี มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ส่วนตัวแปรอื่นๆ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติและไม่ค่อยมีบทบาทต่อความคิดที่จะทำหมันมากนัก

Share

COinS