Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD)

พัฒนาการของการสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา

Other Title (Parallel Title in Other Language of ETD)

Development of English language teaching at the secondary education level

Year (A.D.)

1986

Document Type

Thesis

First Advisor

สุมิตรา อังวัฒนกุล

Faculty/College

Graduate School (บัณฑิตวิทยาลัย)

Degree Name

ครุศาสตรมหาบัณฑิต

Degree Level

ปริญญาโท

Degree Discipline

มัธยมศึกษา

DOI

10.58837/CHULA.THE.1986.284

Abstract

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการของการสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา ตั้งแต่หลักสูตร พ.ศ. 2438 ซึ่งเป็นหลักสูตรฉบับแรก จนถึงหลักสูตร พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นหลักสูตรฉบับปัจจุบัน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ รวบรวมข้อมูลจากเอกสารและตำราต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษาแล้วนำเสนอผลการวิจัยในรูปของความเรียง ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ในด้านหลักสูตร มีหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาและเทียบเท่าประกาศใช้ทั้งสิ้น 15 ฉบับ เป็นหลักสูตรช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 7 ฉบับ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 6 ฉบับ และที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 2 ฉบับ หลักสูตรฉบับที่ใช้นานที่สุดคือ หลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2503 ซึ่งใช้นานถึง 17 ปี หลักสูตรกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับเรียน ตั้งแต่หลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2438 จนถึงหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2503 แต่หลังจากหลักสูตรฉบับ พ.ศ.2518 จนถึงปัจจุบัน ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นวิชาเลือก 2. ในด้านความมุ่งหมาย หลักสูตรในระยะแรกยังไม่กำหนดความมุ่งหมายไว้ หลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2454 เป็นหลักสูตรฉบับแรกที่กำหนดความมุ่งหมายไว้ว่า ให้เรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้เป็นประโยชน์ได้บ้าง และให้เป็นหนทางสำหรับเรียนในชั้นต่อไป และได้ใช้ความมุ่งหมายในลักษณะเดียวกันนี้เรื่อยมาจนถึงหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2503 จึงได้กำหนดความมุ่งหมายให้เน้นการเรียนทักษะทั้ง 4 และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา สำหรับหลักสูตรในปัจจุบันได้กำหนดความมุ่งหมายให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ รวมทั้งได้กำหนดความมุ่งหมายเฉพาะซึ่งเรียกว่า จุดประสงค์การเรียนรู้ของแต่ละรายวิชาไว้ด้วย 3. ในด้านเนื้อหาวิชา ทั้งในช่วงก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เนื้อหาวิชาส่วนใหญ่จะเน้นด้าน อ่าน เขียน พูด แต่ง แปล ย่อความ และไวยากรณ์ โดยแยกเนื้อหาวิชาแต่ละด้านออกจากกันไม่ได้นำมาสอนแบบทักษสัมพันธ์ในแต่ละชั่วโมง จนกระทั่งถึงหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2503 เนื้อหาวิชาเน้นทักษสัมพันธ์ครบทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน รวมทั้งมีเนื้อหาทางไวยากรณ์และวัฒนธรรมด้วย สำหรับหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2518 จนถึงหลักสูตรฉบับปัจจุบันแบ่งเนื้อหาออกเป็นรายวิชาย่อยๆ โดยบางรายวิชา ก็เน้นทักษะเฉพาะด้าน และบางรายวิชาก็เน้นทักษสัมพันธ์รวมทุกทักษะ 4. ในด้านเวลาเรียน ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลักสูตรทุกฉบับให้ความสำคัญต่อการเรียนภาษาอังกฤษมากที่สุด โดยกำหนดเวลาเรียนไว้มากกว่าวิชาอื่นๆ ที่มีอยู่ในหลักสูตร ยกเว้นหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2456 และ 2464 ที่กำหนดเวลาเรียนรวมกับวิชาอื่น ทำให้เวลาเรียนของภาษาอังกฤษยืดหยุ่นได้ จะสอนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละโรงเรียน ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองหลักสูตรทุกฉบับยังคงกำหนดเวลาเรียนภาษาอังกฤษไว้มากกว่าวิชาอื่นๆ ยกเว้นหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2480 เพียงฉบับเดียวที่กำหนดเวลาเรียนไว้เป็นอันดับสองรองจากวิชาภาษาไทย และตั้งแต่หลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2518จนถึงปัจจุบัน ได้มีการกำหนดเวลาเรียนเป็นรายคาบ คาบละ 50 นาที จะเรียนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนของรายวิชาที่เลือกเรียน 5. ในด้านวิธีสอนและสื่อการสอน ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองใช้วิธีสอนอยู่เพียงวิธีเดียวคือ วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล สื่อการสอนที่ใช้คือ กระดานดำแบบเรียน และพจนานุกรม 2 ภาษา ส่วนช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใช้วิธีสอนแบบตรง และกำหนดให้ใช้สื่อการสอนประเภทของจริงและรูปภาพ จนกระทั่งหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2503 จึงใช้วิธีสอนแบบฟัง-พูด มีการใช้สื่อการสอนประเภทโสตทัศนอุปกรณ์มากขึ้น สำหรับวิธีการสอนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีวิธีสอนหลายวิธี เช่น วิธีการสอนแบบเอกัตภาพ แนวการสอนแบบความรู้ความเข้าใจ แนวการสอนเพื่อการสื่อสาร วิธีสอนแบบผสมผสาน เป็นต้น แต่วิธีสอนที่กำลังเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากที่สุดคือ แนวการสอนเพื่อการสื่อสาร เพราะเป็นวิธีสอนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของหลักสูตรมากที่สุด และมีการใช้สื่อการสอนประเภทอิเลคโทรนิคกันอย่างแพร่หลายรวมทั้งใช้กิจกรรมต่างๆ ในการเรียนการสอนด้วย เพราะสื่อการสอนและกิจกรรมต่างๆ มีบทบาทมากที่สุดที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันมากขึ้น 6. ในด้านแบบเรียน ทั้งช่วงก่อนและหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แบบเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนกลาง ส่วนใหญ่จะพิมพ์ขึ้นในประเทศไทยและเป็นแบบเรียนที่คนไทยและเจ้าของภาษาแต่งขึ้นเพื่อให้เด็กนักเรียนไทยเรียนโดยเฉพาะ แต่แบบเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเตรียมอุดมศึกษา จะเป็นแบบเรียนที่สั่งมาจากต่างประเทศและเจ้าของภาษาเป็นผู้แต่งขึ้นทั้งสิ้น ในปัจจุบันแบบเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็นแบบเรียนที่จัดทำขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการและเป็นของเอกชนที่เจ้าของภาษาแต่งขึ้น แต่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแบบเรียนส่วนใหญ่จะเป็นของเอกชนที่เจ้าของภาษาแต่งขึ้นและพิมพ์ในประเทศไทย 7. ในด้านการวัดและประเมินผล เมื่อเริ่มมีหลักสูตร กรมศึกษาธิการเป็นผู้สอบเองทุกระดับชั้น คิดคะแนนเป็นรายบุคคล จนกระทั่งหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2456 เป็นต้นมากระทรวงธรรมการเริ่มกระจายอำนาจสู่โรงเรียนและครูผู้สอนโดยให้วัดและประเมินผลเองทุกระดับชั้น ยกเว้นชั้นมัธยมศึกษาปี 3, 6 และ 8 ที่กระทรวงยังคงเป็นผู้จัดสอบอยู่ และเริ่มคิดคะแนนเป็นร้อยละตั้งแต่หลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2456 เป็นต้นมา ข้อสอบในช่วงนี้มีลักษณะเป็นแบบอัตนัยให้เขียนตอบ วัดความรู้ความจำตามเนื้อหาที่เรียนมา ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังคงใช้วิธีวัดและประเมินผลเหมือนเดิม จนกระทั่งถึงหลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2503 มีการเปลี่ยนแปลงโดยให้วัดและประเมินผลจากคะแนนงานระหว่างปีรวมกับคะแนนปลายปีด้วย กระทรวงเป็นผู้ดำเนินการจัดสอบเฉพาะชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ส่วนระดับชั้นอื่นๆนั้นโรงเรียนดำเนินการสอบเอง ข้อสอบมีลักษณะเป็นแบบปรนัยให้เลือกตอบและถูก-ผิดวัดความรู้ความจำ และยังคงคิดคะแนนเป็นร้อยละ และตั้งแต่หลักสูตรฉบับ พ.ศ. 2518 จนถึงปัจจุบันให้วัดและประเมินผลเป็นรายวิชา อำนาจการวัดและประเมินผลทุกระดับชั้นเป็นของโรงเรียนและครูผู้สอน โดยวัดและประเมินผลในรูปของระดับคะแนน ข้อสอบเป็นแบบปรนัยให้เลือกตอบวัดความรู้ความเข้าใจและการนำไปใช้

Share

COinS